"GC"เล็งปรับพอร์ตลงทุนรุกควบรวม-ซื้อ-ขายกิจการตั้งเป้าโต 10% ปี 67

15 พ.ย. 2566 | 01:49 น.

"GC"เล็งปรับพอร์ตลงทุนรุกควบรวม-ซื้อ-ขายกิจการตั้งเป้าโต 10% ปี 67 เผยปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยจากโรงงานอะโรเมติกส์จะกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลัง และจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ 

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า ปี 67 ตั้งเป้าปริมาณการขายเติบโตเพิ่มขึ้น 10% โดยมีปัจจัยจากโรงงานอะโรเมติกส์จะกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลัง และจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ 

ส่วนงบลงทุนปี 67 บริษัทฯเตรียมไว้ 2 หมื่นล้านบาท ใช้ก่อสร้างและปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และมุ่งเน้นลดค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องคน ลดค่าใช้จ่ายภายใน หลังสามารถลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มและสิทธิภาพการดำเนินงานปีนี้กว่า 6,000-7,000 ล้านบาท 

อย่างไรก็ดี คาดว่าคงยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่อย่างการเข้าซื้อกิจการ เพราะต้องใช้ความระมัดระวังการลงทุนท่ามกลางความเสี่ยงในปัจจุบัน เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสงครามในตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ ปี 66 ถือเป็นอีกหนึ่งปีของความท้าทายสำหรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา GC มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นและสามารถรายงาน Adjusted EBITDA ที่ 12,307 ล้านบาท โดยที่ผ่านมา GC คาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าและดำเนินการตามมาตรการตลอด 3-4 ปี ยึดหลักกลยุทธ์ 3 Steps Plus ได้แก่ 
 

  • Step Change การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ 
  • Step Out แสวงหาโอกาสการเติบโตในธุรกิจใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ โดยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา GC ได้ประกาศทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สู่ธุรกิจ High Value and Low Carbon ซึ่งผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณค่าต่อผู้ใช้งาน เช่น ใช้งานคงทน ปลอดภัย รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร  พร้อมพัฒนาทุกผลิตภัณฑ์ต้องคำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุด 
  • Step Up สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593

อย่างไรก็ดี GC มีการดำเนินงานที่ชัดเจนผ่าน 3 เสาหลัก คือ

  • Efficiency-Driven ยกระดับความสามารถในการแข่งขันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการผลิต ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ปัจจุบัน GC ได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้พลังงาน และเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด 146 โครงการ ช่วยลดการใช้พลังงานลงทั้งหมด 1,794,045 จิกะจูลต่อปี และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 133,722 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

“GC จะเน้นใช้นวัตกรรมเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรโดยรวม ซึ่ง 7 ปีที่ผ่านสามารถลดได้กว่า 3 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยปีละ 3-4 พันล้านบาท เพื่อสร้างความยั่งยืน อีกทั้งธุรกิจบางอย่างขายได้ก็ขายเพื่อทำให้ GC มีพาร์ทเนอร์ที่ดีช่วยเสริมความแข็งแกร่งและยั่งยืน ดังนั้น ปีหน้าจะเห็นการปรับพอร์ตธุรกิจทั้งในรูปแบบการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) หรือรูปแบบการขายบางธุรกิจ”

  • Portfolio-Driven การบริหารพอร์ตโฟลิโอธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของ GC Group ผ่านนวัตกรรมและการลงทุน มุ่งสู่ธุรกิจ High Value and Low Carbon ใน Performance Chemical ด้วยการลงทุนใน allnex ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 600-780 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี 

นอกจากนี้ ในเรื่องของ Circularity and Recycle บริษัทฯ ได้ลงทุนผ่านบริษัท ENVICCO ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลระดับ Food Grade ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ปัจจุบันมีแบรนด์ชั้นนำในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มได้นำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์แล้วมีทิศทางการเติบโตที่ดี หาก Capacity เพิ่มมากขึ้น ก็จะขยายเพิ่มทันที จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและตลาดได้

  • Compensation-Driven เป็นการผลักดันเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยการลงทุนในเทคโนโลยี Carbon Capture Utilization & Storage หรือ CCUS ผ่านแนวทางต่าง ๆ ได้แก่ Corporate Venture Capitals การสร้างพันธมิตรและการร่วมทุนทางธุรกิจ เพื่อนำคาร์บอนมาทำเป็นเคมีภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและวิจัย อีกทั้งดำเนินงานด้าน Nature-Based Solutions โดยการปลูกป่าเพื่อลดคาร์บอน ทั้งป่าบนบกและป่าชายเลน

นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า GC มีผลกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,614 ล้านบาท โดยรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่ ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) รวม 3,674 ล้านบาท 

ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2566 มีกำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท (0.32 บาท/หุ้น) โดยมีปัจจัยการเติบโตของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ