นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า ปี 67 ตั้งเป้าปริมาณการขายเติบโตเพิ่มขึ้น 10% โดยมีปัจจัยจากโรงงานอะโรเมติกส์จะกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลัง และจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่
ส่วนงบลงทุนปี 67 บริษัทฯเตรียมไว้ 2 หมื่นล้านบาท ใช้ก่อสร้างและปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และมุ่งเน้นลดค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องคน ลดค่าใช้จ่ายภายใน หลังสามารถลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มและสิทธิภาพการดำเนินงานปีนี้กว่า 6,000-7,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี คาดว่าคงยังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่อย่างการเข้าซื้อกิจการ เพราะต้องใช้ความระมัดระวังการลงทุนท่ามกลางความเสี่ยงในปัจจุบัน เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสงครามในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ ปี 66 ถือเป็นอีกหนึ่งปีของความท้าทายสำหรับทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา GC มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นและสามารถรายงาน Adjusted EBITDA ที่ 12,307 ล้านบาท โดยที่ผ่านมา GC คาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าและดำเนินการตามมาตรการตลอด 3-4 ปี ยึดหลักกลยุทธ์ 3 Steps Plus ได้แก่
อย่างไรก็ดี GC มีการดำเนินงานที่ชัดเจนผ่าน 3 เสาหลัก คือ
“GC จะเน้นใช้นวัตกรรมเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรโดยรวม ซึ่ง 7 ปีที่ผ่านสามารถลดได้กว่า 3 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยปีละ 3-4 พันล้านบาท เพื่อสร้างความยั่งยืน อีกทั้งธุรกิจบางอย่างขายได้ก็ขายเพื่อทำให้ GC มีพาร์ทเนอร์ที่ดีช่วยเสริมความแข็งแกร่งและยั่งยืน ดังนั้น ปีหน้าจะเห็นการปรับพอร์ตธุรกิจทั้งในรูปแบบการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) หรือรูปแบบการขายบางธุรกิจ”
นอกจากนี้ ในเรื่องของ Circularity and Recycle บริษัทฯ ได้ลงทุนผ่านบริษัท ENVICCO ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลระดับ Food Grade ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ปัจจุบันมีแบรนด์ชั้นนำในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มได้นำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์แล้วมีทิศทางการเติบโตที่ดี หาก Capacity เพิ่มมากขึ้น ก็จะขยายเพิ่มทันที จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและตลาดได้
นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า GC มีผลกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,614 ล้านบาท โดยรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่ ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) รวม 3,674 ล้านบาท
ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2566 มีกำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท (0.32 บาท/หุ้น) โดยมีปัจจัยการเติบโตของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ