นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทจะดำเนินนโยบายธุรกิจแบบระมัดระวัง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการลดต้นทุนพลังงานจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ
รวมถึงทบทวนการลงทุนและสร้างโอกาสที่คุ้มค่า มุ่งเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง ขณะเดียวกันก็รักษาวินัยและสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดหมุนเวียนอย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยภาพรวมยังไม่ดี ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี (GDP) ปีนี้โตต่ำกว่าคาดการณ์ คาดเพียง 2.8% และปี2567 มีความเสี่ยงว่าเศรษฐกิจไทยจะต่ำกว่าปีนี้ คาดจะเติบโตเพียง 2.5% เนื่องจากไทยเป็นประเทศส่งออกหลักถึง 60% ของจีดีพี
ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหาจากสถานการณ์และปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ด้านเศรษฐกิจภูมิภาคไม่ฟื้นตัวเต็มที่
"วันที่ 19 ธันวาคมจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารไออาร์พีซี ซึ่งจะมีการสรุปแผนและเงินลงทุนปีหน้าและอนาคต เบื้องต้นจะวางแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและการแข่งขัน ต่อยอดจากธุรกิจหลักปิโตรเลียม ปิโตรเคมี ท่าเรือและอสังหาริมทรัพย์ และขยายการลงทุนไปในกลุ่มธุรกิจใหม่"
สำหรับธุรกิจใหม่ที่บริษัทจะดำเนินการ ประกอบด้วย ธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ ร่วมกับโรงพยาบาลบางปะกอกและโรงพยาบาลปิยะเวท ศึกษาการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลและที่พักเพื่อสุขภาพ ในพื้นที่ศักยภาพของบริษัทฯ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชนในพื้นที่ จ.ระยอง และจังหวัดใกล้เคียง
รวมทั้งธุรกิจสีและสารเคลือบ ร่วมกับ บริษัท เบเยอร์ จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบมาตรฐานโลกเป็นครั้งแรกของประเทศ ด้วยส่วนผสม Polytetrafluoroethylene (PTFE) ที่มีคุณสมบัติพิเศษมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง ช่วยยืดอายุการใช้งานโครงสร้างเหล็กถึงสามเท่า เพื่อใช้เคลือบโครงสร้างเหล็กในโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมีสนามบิน ท่าเรือและสะพาน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและอาหารเสริมพืชปุ๋ยหมีขาว ภายใต้เครื่องหมายการค้า REINFOXX เพิ่มอีก 4 สูตร เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ต่อผลิตผลและสิ่งแวดล้อม โดยได้ขยายตลาดในประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้เกษตรกรไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดขยายกำลังการผลิตโครงการโซลาร์ลอยน้ำอีก 8.5 เมกะวัตต์ รวมเป็น 21 เมกะวัตต์ และมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ.2060 เร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ ปี ค.ศ.2065