ด่วน! แรมโบ้ เสกสกล ลาออกจากบอร์ด “IRPC”

06 ก.ย. 2567 | 06:25 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ย. 2567 | 06:25 น.

ด่วน! แรมโบ้ เสกสกล ลาออกจากบอร์ด “IRPC” หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการอิสระ กํากับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืนแทนนางประณต ติราศัย มีผลมาตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า นายเสกสกล อัตถาวงศ์ (ดร.แรมโบ้ อีสาน) ได้ลาออกจาก กรรมการอิสระ บริษัท ไออาร์พีซี จํากัด (มหาชน) หรือ IRPC บริษัทในเครือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 

ทั้งนี้ แรมโบ้ ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการอิสระ กํากับดูแลกิจการที่ดีและความยั่งยืน IRPC ทดแทนนางประณต ติราศัย ในการประชุมบอร์ด IRPC เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2567 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป
 

สำหรับนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสานนั้น เป็นอดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และอดีตรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับการเสนอชื่อจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้มีหนังสื่อที่ 80000001/550 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2567 และหนังสือที่ 80000001/55 ลงวันที่ 15 สิงหาคม เสนอชื่อบุคคลเพื่อพิจารณาแต่งตั้งเป็นกรรมการที่ลาออกแทนนางประณต ดิราศัย

อีกทั้ง ยังเคยเป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เข้าร่วมกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและเคยเป็น สส.เพื่อไทย ต่อมาภายหลังรัฐประหารปี 2557 ได้ย้ายมาร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และเคลื่อนไหวปกป้องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

หลังจากนั้นได้ย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ มีการลาออกไปและสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ 2 รอบ ครั้งแรก 27เม.ย. 2565 และกลับเข้าไปเป็นสมาชิกอีกครั้ง 9 ม.ค.2566 ต่อมา 3 ต.ค. 2566 ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทำให้พ้นจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค

IRPC ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ที่จ.ระยอง ซึ่งเป็นเขตประกอบการอุตสาหกรรมภายใต้การจัดการ ของบริษัทฯ โดยโครงสร้างการผลิตประกอบด้วยโรงงานปิโตรเลียม และโรงงานปิโตรเคมีพร้อมระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจทั้งท่าเรือน้ำลึก คลังน้ำมัน และโรงไฟฟ้า

สำหรับ IRPC มีรายได้ครึ่งปีแรกของปี 2567 สุทธิกว่า 148,710 ล้านบาท ในงวดครึ่งแรกของปี 67 เพิ่มขึ้น  1% เมื่อเทียบกับงวดครึ่งแรกของปี 66 จากราคาขายเพิ่มขึ้น 9% ตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมทั้งมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันถึง 2,138 ล้านบาท ทำให้ EBITDA อยู่ที่ 6,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 187% ดันกำไรสุทธิมาอยู่ที่ 812 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขายน้ำมันอากาศยาน Jet A1 มาตรฐาน JIG รองรับอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกเติบโต