นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์สินค้าอาหารฮาลาล พบว่า ปัจจุบันตลาดอาหารฮาลาล (Halal Food) กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากประชากรในกลุ่มประเทศมุสลิมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันไทยมีการผลิตอาหารฮาลาลเพื่อจำหน่ายแก่มุสลิมในประเทศ และส่งออกไปในต่างประเทศ
โดยไทยมีจุดแข็งด้านคุณภาพวัตถุดิบ อีกทั้งอุตสาหกรรมอาหารของไทยยังมีความเข้มแข็ง มีชื่อเสียงที่ดีในตลาดโลก ทั้งในด้านมาตรฐาน คุณภาพ และรสชาติอาหารไทย
ข้อมูลสถิติประชากรโลกของ Pew Research Center พบว่า ปี 2565 มีประชากรนับถือศาสนาอิสลาม 1.9 พันล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.54 ของประชากรโลก ประเทศที่มีประชากรชาวมุสลิมมากที่สุด คือ อินโดนีเซีย 229 ล้านคน รองลงมา ได้แก่ ปากีสถาน 200 ล้านคน อินเดีย 195 ล้านคน บังกลาเทศ 154 ล้านคน และไนจีเรีย 99 ล้านคน
สำหรับไทย ปี 2561 (ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ) มีจำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลาม รวม 3,639,232 คน คิดเป็นประมาณ 5.4% ของประชากรทั้งประเทศ เป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือมากเป็นอันดับ 2 รองจากศาสนาพุทธ แสดงให้เห็นว่าตลาดผู้บริโภคชาวมุสลิม ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ อีกทั้งผู้บริโภคชาวมุสลิมมีแนวโน้มการใช้จ่ายขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากไม่ได้มีการระบุพิกัดศุลกากรของสินค้าอาหารฮาลาลโดยเฉพาะ ดังนั้น การศึกษาครั้งนี้ สนค. ใช้ข้อมูลการส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารที่ส่งออกไปยังกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation-OIC) จำนวน 57 ประเทศ ซึ่งพบว่า ปี 2564 ไทยมีมูลค่าการส่งออกอาหารฮาลาล รวม 4,188.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (มีสัดส่วน12.13% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทย) ขยายตัวจากปีที่ผ่านมา 4.12% ส่วนปี 2565 ช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) มีมูลค่าการส่งออก 4,681.23 ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 64.65% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับประเภทสินค้าอาหารฮาลาลที่ไทยส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ OIC ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรกของปี 2564 ได้แก่ ธัญพืช มูลค่าการส่งออก 1,063.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา สัตว์น้ำฯ มูลค่า619.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้ำตาลและขนมทำจากน้ำตาล มูลค่า522.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ของปรุงแต่งจากธัญพืช แป้ง สตาร์ช หรือนม ผลิตภัณฑ์อาหารจำพวกพาย มูลค่า330.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ของปรุงแต่งเบ็ดเตล็ดที่บริโภคได้ มูลค่า260.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตลาดส่งออกอาหารฮาลาลของไทย (เฉพาะกลุ่มประเทศ OIC) ที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรกของปี 2564 ได้แก่ มาเลเซีย มูลค่าส่งออก 1,193.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อินโดนีเซีย 885.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 228.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อียิปต์ 225.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ) เยเมน 165.00 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากการส่งเสริมการส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปยังตลาดต่างประเทศแล้ว ตลาดอาหารฮาลาลในประเทศก็เป็นอีกตลาดหนึ่งที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศชาวมุสลิม ดัชนีการท่องเที่ยวมุสลิมทั่วโลก (Global Muslim Travel Index: GMTI) ปี 2022 จัดทำโดย Mastercard-CrescentRating รายงานว่า ไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ของจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับชาวมุสลิม เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม (Non-OIC) รองจากสิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งอันดับสูงขึ้นจากปี 2021 ที่อยู่ในอันดับที่ 4
นอกจากนี้ สถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติชาวมุสลิมจากกลุ่มประเทศ OIC ที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุด คือ ชาวมาเลเซีย ปี 2562 (ก่อนการแพร่ของโควิด-19) มีจำนวนถึง 4,272,584 คน (คิดเป็น 10.7% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด) และปี 2565 ช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) มีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียจำนวน 1,291,381 คน (18%ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด) รองลงมา ได้แก่ อินโดนีเซีย และซาอุดีอาระเบีย ตามลำดับ
ทั้งนี้ แม้ว่าในปัจจุบันระบบฮาลาลของไทยจะเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศของกลุ่มประเทศมุสลิม แต่ไทยยังจำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานฮาลาลให้ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน โดยต้องศึกษาข้อมูลและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง ศึกษาความแตกต่างด้านมาตรฐานฮาลาลของแต่ละประเทศ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เครื่องหมายฮาลาลของไทยได้รับการยอมรับและน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น ทั้งผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศชาวมุสลิม โดยผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาสินค้าอาหารฮาลาล รวมทั้งสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมไปพร้อม ๆ กัน อาทิ ร้านอาหาร โรงแรม และสปา
“หากไทยสามารถผลักดันการส่งออกอาหารฮาลาลได้เพิ่มขึ้น ขยายตลาดส่งออกเดิมและเพิ่มโอกาสในตลาดใหม่ ๆ ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมอาหารของไทย รวมทั้งกระจายรายได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตรซึ่งเป็นผู้ป้อนวัตถุดิบเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารอีกด้วย”