นายวิจารย์ สิมาฉายา ประธานกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ TGO เปิดเผยว่า มลพิษในสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นประเด็นสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทย เนื่องจากปัญหาดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น ประเทศไทยจึงใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติ
ซึ่งประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อขับเคลื่อนให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน(Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) ในปี 2030 ที่มีทั้งสิ้น 17 เป้าหมายและ 169 เป้าประสงค์
กลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย
จากผลการประเมินในปี 2021 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 43 ของโลก เป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน และอันดับ 3 ของเอเชีย อย่างไรก็ดี มีเพียงเป้าหมายที่ 1 การขจัดความยากจนทุกรูปแบบในทุกพื้นที่เท่านั้น ที่ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายแล้ว
สำหรับด้านสิ่งแวดล้อม เป้าหมายที่ 13 การปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น อยู่ในสถานะที่ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่
ในการประชุมเอเปค 2022 เดือนพฤศจิกายน ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพนั้น จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งครอบคลุมความมั่นคงทางอาหารความมั่นคงทางสาธารณสุข ความมั่นคงทางพลังงาน หลักประกันการมีงานทำ และความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีวิสัยทัศน์คือ เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ประชาชนมีรายได้ คุณภาพชีวิตดี รักษาและฟื้นฟูฐานทรัพยากรจากความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อมให้มีคุณภาพที่ดี
ส่วนแนวทางการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
1) การสร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ
2) การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง
3) ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน
4) การเสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
ปัจจุบัน สาขาที่ประเทศไทยมีความพร้อมในการพัฒนา คือ ด้านเกษตรและอาหาร ด้านสุขภาพและการแพทย์ ด้านพลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ ด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยมีความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วิกฤติเศรษฐกิจ โรคระบาด ภัยก่อการร้าย รวมถึงมลพิษและสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม การเดินนโยบาย BCG จะต้องดำเนินภายใต้จุดยืน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของไทยคือ การเป็นครัวโลก การเพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในผลิตภัณฑ์รวมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีการพัฒนาสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง ด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน
รายละเอียดการเปลี่ยนจากแนวคิดเศรษฐกิจแบบเส้นตรง (Linear Economy) ที่นำทรัพยากรมาผลิตแบบใช้แล้วทิ้ง (Take-Make-Dispose) เป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่นำวัตถุดิบจากสินค้าที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ (Make-Use-Return) ได้มีการกำหนดแนวปฏิบัติ ดังนี้
ส่วนการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน ต้องครอบคลุมวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนกระทั่งกลายเป็นขยะและนำกลับมาใช้ประโยชน์ เช่น การบริหารจัดการขยะพลาสติกประเภท PET และ PE ให้เป็นระบบปิดที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2030 รวมถึงการลดขยะพลาสติกที่ทิ้งลงในทะเล 50% ภายในปี 2027
อย่างไรก็ตาม การลดการใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง และการรีไซเคิลพลาสติกตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ผ่านโครงการร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) ซึ่งได้มีโครงการนำร่อง เช่น คลองเตยโมเดล เป็นตัวอย่างสำหรับการประยุกต์ใช้การบริหารจัดการขยะตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนในเขตชุมชนเมือง โดยเลือกห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงแรม และอาคารสำนักงาน เข้าร่วมโครงการรวม 7 อาคาร ผลการดำเนินงานพบว่ามีขยะลดลง 21% และสัดส่วนการรีไซเคิลเพิ่มขึ้น 55.8%
การสร้างจุด Drop Point ประมาณ 500 จุดเพื่อรับขยะพลาสติกแบบแยกประเภทตามปั๊มน้ำมันและห้างสรรพสินค้า ซึ่งในปี 2021 สามารถรวบรวมพลาสติกได้กว่า 20,000 กิโลกรัม สามารถขายได้กิโลละ 5 บาท และนำเงินที่ได้ไปบริจาคเพื่อการอนุรักษ์สัตว์น้ำในทะเล
ส่วนระยองโมเดล ภายใต้ชื่อผนึกกำลังสร้างระยองต้นแบบจัดการขยะยั่งยืน (Rayong Less-Waste) เป็นตัวอย่างระดับจังหวัดที่ได้รับความร่วมมือทั้งจากภาคเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยนำพลาสติกไปรีไซเคิลเป็นถนน ถังขยะ อิฐ เสื้อผ้า แลไม้เทียมเป็นต้น