พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานประชุม Global Compact Network Thailand Forum (GCNT 2022) หัวข้อ “เร่งหาทางออกของภาคธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อนและวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพ” ที่จัดขึ้นโดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT : Global Compact Network Thailand) ร่วมกับสหประชาชาติโดยพลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า การประชุม GCNT Forum 2022 ถือเป็นโอกาสในการเตรียมตัวก่อนที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022) โดยไทยได้ผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเปคในยุคหลังวิกฤตโควิด – 19 เพื่อให้ทุกประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน สมดุล และครอบคลุมมากขึ้น ภายใต้หัวข้อหลัก “Open. Connect. Balance.”
รัฐบาลไทยยืนยันถึงเจตนารมณ์ ความมุ่งมั่นและการลงมือทำของไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปค เพื่อลดสภาวะโลกร้อนและความเสียหายต่อธรรมชาติ โดยภาคเอกชนและสหประชาชาติถือเป็นภาคีสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนของไทย การที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค ได้เสนอหลักการ “การพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG” ที่คำนึงถึงการพัฒนาเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับการเยียวยารักษาธรรมชาติอย่างมีสมดุล เป็นหัวใจหลักและมี “เป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว
จากสถิติและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงประสบการณ์ของไทย จะเห็นว่าเริ่มมีสัญญาณเตือนว่าภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และทวีความรุนแรงขึ้น จึงต้องเตรียมพร้อมรับมือและปรับตัว
นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์โลกที่มีความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โควิด-19 หรือโรคอุบัติใหม่ที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ความไม่มั่นคงด้านอาหารและพลังงาน สภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมทั้งการสูญเสียความหลากหลายทางธรรมชาติ ทำให้ทุกประเทศต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประเทศและประชาชนของตนเอง
ในส่วนของประเทศไทยต้องกำหนดจุดยืน นโยบายอย่างรอบครอบ โดยต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
“ประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้นของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ประชาชนมีแสงสว่างในการดำรงชีวิตในทุกมิติ ถือเป็นรากฐานของธุรกิจ BCG และความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พลเอกประยุทธ์กล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่า เป้าหมายกรุงเทพฯ จะบรรลุผลและนำไปสู่ความร่วมมือในภูมิภาคที่เป็นรูปธรรมต่อเนื่องในระยะยาว สอดรับกับความพยายามของไทยในการร่วมมือกับประชาคมโลกแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งผลักดันให้ใช้แนวคิด BCG เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ อาทิ การฟื้นฟูการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การจัดการป่าไม้ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ที่เพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้ประชาชนท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตและโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีของเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยไทย
ส่วนการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การสร้างการตระหนักรู้ สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มองค์รวม
นอกจากนี้ ไทยได้ทำงานเชิงรุกในการกำจัดขยะทางทะเล พร้อมทั้งจะดำเนินการจัดทำตราสารระหว่างประเทศ ว่าด้วยการจัดการขยะพลาสติก ทบทวนเขตการค้าเสรีที่เน้นการส่งเสริมการค้าแบบใหม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมควบคู่กับสาธารสุขไปพร้อมกัน
ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ ซีอีโอ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้ประกาศสนับสนุนการประกาศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือเป็นศูนย์ ค.ศ. 2050 หรือช้าสุด2070 โดยสมาชิกสมาคมฯ ได้ร่วมกันลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปแล้ว 8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เปรียบเท่ากับการลดปริมาณรถบนถนน 1.6 ล้านคัน
อย่างไรก็ตาม ในการแก้ปัญหาโลกร้อน นอกจากการฟื้นฟูและปกป้องสิ่งแวดล้อมแล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่ท้าทายและร้ายแรงอย่างมาก คือ การถดถอยของความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF ได้รายงานว่าใน 40 ปีที่ผ่านมาการถดถอย ของความหลากหลายทางชีวภาพโดยรวมลดลงอย่างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ทะเล นก สัตว์เลื่อนคลาน ลดลงถึง 68%
ขณะที่ World Economic Forum ได้ประเมินมูลค่าเศรษฐกิจโลกว่า ต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและนิเวศบริการกว่า 50% หรือ 44 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้น
ความหลากหลายทางชีวภาพ และความสมูรณ์ของระบบนิเวศน์ จึงมีความสำคัญมากๆ ต่อเศรษฐกิจทุกสาขา
สิ่งที่ต้องดำเนินการเร่งด่วนขณะนี้ จึงต้องทำทั้งการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ ควบคู่กับการสร้างคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดก้าวหน้า เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสร้างให้เกิดประโยชน์ ภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งรายใหญ่และระดับเอสเอ็มอี ต้องร่วมกันขับเคลื่อน สนับสนุนเงินทุนเพื่อดำเนินการทุกอย่างให้บรรลุเป้า และมีการรายงานอย่างโปร่งใส เพื่อให้ธุรกิจและเศรษฐกิจโลก สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป