นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ (OR) เปิดเผยว่า เดือนพ.ค.นี้ OR จะเปิดปั๊มน้ำมันโฉมใหม่ที่เป็นลักษณะ “แฟล็กชิพสโตร์” ที่สาขาวิภาวดี 62 โดยที่จะเป็นปั๊มขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่ธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น
และใช้เทคโนโลยีใหม่ๆที่มุ่นเน้นพลังงานสะอาด เช่น การติดตั้งปั๊มชาร์จอีวี และโซลาร์รูฟท็อป รวมถึงมีระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน และนำ AI เข้ามาใช้คำนวณการปล่อยคาร์บอนฯของรถแต่ละคันที่ผ่านเข้า-ออกปั๊ม
ซึ่งปั๊มแฟล็กชิพสโตร์ดังกล่าวนี้ จะเป็นต้นแบบขยายไปสู่ปั๊มแฟล็กชิพสโตร์อื่นๆของ OR มากขึ้นในอนาคต โดยคาดว่าหลังจากเปิดสาขาแรกในช่วงเดือนพ.ค. จะสามารถเปิดให้บริการแห่งที่สองประมาณไตรมาส 3 โดยเป็นธุรกิจในกลุ่ม Lifestyle เพราะตอบโจทย์ในเรื่องของการสร้างผลกำไร หรือมาร์จิ้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจ Lifestyle โออาร์ได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 14,193 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 45% ของงบลงทุน รองรับสำหรับการขยายสาขาร้าน Café Amazon ประมาณ 400 แห่ง และร้าน Texas Chicken รวมไปถึงการแสวงหาพันธมิตรและการลงทุนใหม่เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ
โดยนอกจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) แล้วโออาร์ยังให้ความสำคัญในกลุ่มธุรกิจด้าน Health & Wellness และ Tourism โดยตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วนมาร์จิ้นจากธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 25-29% ในปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 25%
อย่างไรก็ดี ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 OR มุ่งมั่นสานต่อและผลักดันวิสัยทัศน์ Empowering All toward Inclusive Growth ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้เตรียมงบลงทุนจำนวน 31,197 ล้านบาท มุ่งเน้นการขยายและสร้างความแข็งแกร่งของ Business Value Chain
“ปี 2565 ธุรกิจเดิม Mobility ยังเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนการเติบโตของโออาร์แต่ในปีนี้ จะเน้น ธุรกิจ Lifestyle เพราะตอบโจทย์มาร์จิ้น"
ด้านกลุ่มธุรกิจ Mobility มุ่งรักษาความเป็นผู้นำใน Mobility Ecosystem ทั้งในแง่การขยายสาขา PTT Station ที่มีเป้าหมายขยายเพิ่มปะลประมาณ 100 แห่ง และ EV Station PluZ ปีนี้จะเพิ่ม 500 เครื่องชาร์จ จากปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 300 เครื่องชาร์จ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย EV Station PluZ จำนวน 7,000 เครื่องชาร์จ ภายในปี 2573 หรือก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน EV ในประเทศไทย ภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้เกิดความร่วมมือในธุรกิจ EV ของกลุ่ม ปตท. อย่างเป็นระบบ
รวมไปถึงการลงทุนใน Green Energy เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของแหล่งพลังงาน ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะต้องการพลังงานชนิดใดสำหรับการเดินทาง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 6,799 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22% ของงบลงทุน
“คาดว่าปีนี้ปริมาณการขายน้ำมันของโออาร์ จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายเกือบ 8 แสนล้านบาท ซึ่งขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจที่มีการคาดการณ์ว่า GDP ไทย จะเติบโตระดับ 3.7% จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 2.6%"
ขณะที่การท่องเที่ยวมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากกว่าที่ประเมินไว้ โดยเฉพาะการเปิดประเทศของจีนที่จะทำให้เกิดความคึกคักมากขึ้น ก็จะช่วยหนุนยอดขายน้ำมันเครื่องบิน(Jet) กลับไปสู่ระดับใกล้เคียงก่อนเกิดโควิด-19 ได้ในช่วงปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม โออาร์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบ ปีนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 80-89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากปี2565 ที่ราคาปิด ณ สิ้นปีอยู่ที่ 96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยโออาร์ยังคงเป้าหมายรักษาส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) เบอร์ 1 จากปัจจุบันอยู่ที่ 43.2%
สำหรับกลุ่มธุรกิจ Global ยังคงมุ่งขยายการลงทุนในการเปิด PTT Station และ Café Amazon ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในประเทศที่ OR ได้เข้าไปดำเนินการแล้ว พร้อมแสวงหาโอกาสในการลงทุนในประเทศใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ
โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 4,954 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของงบลงทุน ซึ่งปีนี้ จะเน้นการเจาะตลาดในกัมพูชามากขึ้น เนื่องจากคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น 6.2% จากปีก่อนเติบโต 5.1% และกัมพูชา เป็นประเทศที่ไม่มีโรงกลั่นน้ำมัน จึงจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมัน โดยการเจาะตลาดจะเน้นทั้ง ธุรกิจ Mobility และธุรกิจ Lifestyle
ส่วนกลุ่มธุรกิจ OR Innovation มุ่งแสวงหาธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจในปัจจุบัน โดยกำหนดหลักเกณฑ์ด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างนวัตกรรมในแบบฉบับของโออาร์เพื่อเป็นต้นแบบขององค์กรสมัยใหม่ และทำให้ OR เติบโตไปพร้อมกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในนวัตกรรมเพื่อพัฒนาโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจัดสรรงบประมาณจำนวน 5,251 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17% ของงบลงทุน
นายดิษทัต กล่าวต่อไปอีกว่า โออาร์ยังให้ความสำคัญกับสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG ในแบบฉบับของโออาร์เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบไปด้วย S – SMALL โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก D – DIVERSIFIED โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ และ G – GREEN โอกาสเพื่อสังคมสะอาด
นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ โออาร์ กล่าวว่า ปี 65 ตลาดการค้าน้ำมันของประเทศโต 15% ขณะที่โออาร์โต 18% หรือมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้น 1.2% อยู่ที่ 43.2% ซึ่งในส่วนของตลาดยานยนต์ปีนี้ก็ยังมีทิศทางการเติบโตขึ้น โดยเฉพาะเบนซินและดีเซล ขณะที่น้ำมัน Jet ก็จะได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว จึงคงเป้าหมายที่จะรักษามาร์เก็ตแชร์ เบอร์ 1 ในส่วนของยอดขายน้ำมัน Jet ไว้ที่ 49% ให้ได้
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้คาดว่าโออาร์จะได้รับประโยชน์จากยอดขายน้ำมันดีเซลพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้น หลักจากภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการภาษีและปรับเพิ่มค่าการตลาดสู่ระดับปกติ ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างราคาระหว่างดีเซล กับดีเซลพรีเมี่ยมแคบลง จากปัจจุบันมีส่วนต่างถึง 9 บาทต่อลิตร
"ยอดขายน้ำมันปีนี้ มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นกว่าระดับ 8 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา หากราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นจากสมมติฐานที่ตั้งไว้ ขณะที่ธุรกิจLifestyle เดิมที่ผ่านมาเติบโต 2 หลัก มีสัดส่วนมาร์จิ้นอยู่ที่ 25.5% ปีนี้ก็คาดว่าจะเติบโต 2 หลักเช่นกัน"
ด้านแผนขยายการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในปั๊มน้ำมัน PTT Station นั้น ปีนี้คาดว่าจะติดตั้งเพิ่มประมาณ 300 แห่ง จากที่มีอยู่ประมาณ 100 แห่ง ร่วมเป็น 400 แห่งในช่วงสิ้นปีนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารูปแบบการลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเปิดกว้างหลายแนวทางเพื่อให้มีพันธมิตรที่หลากหลายเข้ามาร่วมลงทุนติดตั้ง โดยน่าจะเห็นการทยอยลงทุนติดตั้งชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาส 2-3 ปีนี้
ขณะที่ ธุรกิจ Lifestyle ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างโออาร์กับพันธมิตรบริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด พัฒนาโครงการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่ม (RTD) เพื่อตอบสนองทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น