นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO เปิดเผยว่า บริษัท สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด บริษัทย่อยของ DITTO และชุมชนได้เข้าร่วมโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำหรับชุมชนประจำปี 2566 จำนวน 14 ชุมชน ในพื้นที่จังหวัดกระบี่และพังงา เนื้อที่รวม 26,508-2-22 ไร่ ระยะเวลา 30 ปี ประกอบด้วย
ดังนั้นเมื่อรวมกับพื้นที่ที่บริษัทได้รับอนุมัติเข้าร่วมเป็นผู้พัฒนาในโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในปีที่แล้ว 21,658.19 ไร่ กับพื้นที่ที่ได้รับอนุมัติเพิ่มปีนี้ ทำให้บริษัทได้รับจัดสรรรวมทั้งสิ้น 48,166.75 ไร่
“พื้นที่ทั้งหมดเป็นป่าชายเลนถือว่า เป็นป่าที่สร้างระบบนิเวศน์ทั้งดูดซับ กักเก็บ ปล่อยออกซิเจนรวมถึงเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เป็นแหล่งสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ป่าชายเลนจึงได้ชื่อว่า Blue carbon โดยเป้าหมายในการปลูกและดูแลป่าชายเลนยังอยู่ที่ 1 แสนไร่ เพื่อเป้าหมายคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันต่อปี”นายฐกรกล่าว
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การวัดคาร์บอนเครดิตสำหรับป่าชายเลนปัจจุบัน สูงถึง 9.4 ตันต่อไร่ต่อปี หากรวมพื้นที่ที่ได้รับปัจจุบัน จะได้คาร์บอนเครดิตราวๆ 500,000 ตันต่อปี และราคาคาร์บอนเครดิตจากป่าชายเลนมีราคาแพงกว่าคาร์บอนเครดิตที่ได้จากป่าบก ปัจจุบันราคาที่ซื้อขายในยุโรป 97 ยูโรหรือ 3,500 บาทต่อตันคาร์บอน
นายฐกรกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ภาครัฐกำลังออกพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้มีผลเป็นภาคบังคับ (ปัจจุบันยังเป็นภาคสมัครใจ ) เนื่องจากนานาชาติทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้มีการบังคับใช้ภาษีคาร์บอนกับประเทศคู่ค้าซึ่งผู้ส่งออกสินค้าของไทยที่ส่งไปอียูและสหรัฐจะต้องเตรียมรับมือ
“พื้นที่ป่าชายเลนของชุมชนนั้นเป็นป่าที่คนในชุมชนดูแลอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ต้องปลูกใหม่ แต่ที่ผ่านมาอาจจะขาดองค์ความรู้ และงบประมาณไม่เพียงพอ การที่ DITTO เข้ามาร่วมมือและให้การสนับสนุน จะทำให้การดูแลรักษาป่ามีความเข้มแข็ง คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีระบบนิเวศน์ที่ดีเพื่อให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน โดยให้ชุมชนและชาวบ้านยังสามารถเข้ามาประกอบอาชีพและดำรงชีพในพื้นที่ป่าชายเลนได้ปกติเหมือนเดิม”ฐกรกล่าว
นอกจากนี้ DITTO ยังสนับสนุนทุนให้กับชุมชนไปพัฒนาท้องถิ่น และทุนการศึกษากับเด็ก ที่สำคัญชุมชนยังมีรายได้จากคาร์บอนเครดิตที่ได้จากป่าชายเลน สำหรับดูแลชุมชนอีกด้วย
นายสุธีร์ ปานขวัญ ประธานชุมชนบ้านไหนหนัง จังหวัดกระบี่กล่าวว่า การที่มีบริษัทเอกชนเข้ามาให้การสนับสนุนชุมชนในการดูแลรักษาป่าชายเลนเป็นเรื่องที่ดี ที่ผ่านมาชุมชนบ้านไหนหนัง มีกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ชุมชนมาโดยตลอด แต่มีข้อด้อยในเรื่องงบประมาณทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่ เวลาที่ต้องเข้ามาดูแลป่าชุมชน จะต้องมีงบประมาณสนับสนุน เช่น การลาดตระเวน การดูแลรักษาเครื่องยนต์เรือ หรืออาจจะซื้อเรือเป็นของชุมชนเพื่อดูแลรักษาป่าต่อไป
อีกอย่างการที่เอกชนที่มีความชำนาญมีความรู้เข้ามาช่วยดูแลรักษาป่าจะทำให้ป่ามีความอุดมสมบูรณ์ ช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลนและการบริหารจัดการมีระบบมากขึ้น เมื่อก่อนที่ชุมชนดูแลพื้นที่ 713 ไร่แต่ไม่รู้แนวเขตชัดเจนต่อไปคงมีแนวเขตชัดเจนขึ้น
“ในการเข้าร่วมทางชุมชนได้ทำประชาพิจารณ์คนในชุมชนทุกกลุ่มทุกอาชีพ 3-4 เวที ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันทั้งหมด และยังเห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการนำร่อง ต่อไปนบริษัทน่าจะขยายการสนับสนุนไปยังพื้นที่อื่นๆด้วย เพราะเป็นโครงการที่ดีเพื่อให้ชุมชนที่ดูแลรักษาป่ามีความเข้มแข็ง”
นายสุชาติ มิตตุลาคาร ประธานชุมชนบ้านทุ่งรัก จังหวัดพังงา กล่าวว่า โครงการนี้ชาวบ้านได้ประโยชน์ ทุกคนเห็นว่าเป็นโครงการเหมาะสมป่าจะได้สมบูรณ์ เป็นพื้นที่พักอาศัยของสัตว์น้ำ ซึ่งชาวบ้านที่นี่ประกอบอาชีพประมง จะได้มีแหล่งทำมาหากินและจะทำให้ได้ระบบนิเวศน์ที่ดี
“ที่ผ่านมาชาวบ้านดูแลป่าชุมชนกันเองจะออกไปตรวจดูคนลักลอบตัดต้นไม้ ค่าน้ำมันก็ไม่มี เมื่อมีเอกชนเข้ามาสนับสนุนคาดหวังอย่างน้อยจะได้มีงบประมาณในการทำงาน โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี จะทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มจากการประกอบอาชีพและป่าก็จะมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตอีกด้วย”นายสุชาติกล่าว