บีโอไอผนึกเซี่ยงไฮ้เชื่อมลงทุนไทย-จีน ดันอุตสาหกรรมอนาคต

03 พ.ค. 2566 | 05:31 น.
อัปเดตล่าสุด :03 พ.ค. 2566 | 05:31 น.

บีโอไอผนึกเซี่ยงไฮ้เชื่อมลงทุนไทย-จีน ดันอุตสาหกรรมอนาคต ชี้โอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และดิจิทัล ระบุแนวโน้มลงทุนทั้งสองประเทศเติบโตสูง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้ดำเนินการร่วมกับนครเซี่ยงไฮ้ และหน่วยงาน Invest Shanghai จัดงาน“ลงทุนเซี่ยงไฮ้ ร่วมแบ่งปันอนาคต”  

ทั้งนี้ เพื่อขยายความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนทั้งจากจีนมาสู่ไทย และไทยไปสู่จีน ตามนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) สู่ภูมิภาคอาเซียน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP)

สำหรับทำเลที่ตั้งของประเทศไทยอยู่ใจกลางภูมิภาคอาเซียน ใกล้ประเทศจีน มีระบบขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ สามารถเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี (EEC) ซึ่งในอนาคตอาจจะเชื่อมโยงกับเขตพิเศษหลินกังของนครเซี่ยงไฮ้ได้ 

นอกจากนี้ ไทยยังมีความแข็งแกร่งด้านซัพพลายเชน อุตสาหกรรมสนับสนุน บุคลากรที่มีคุณภาพ มาตรการสนับสนุนของรัฐและสิทธิประโยชน์ รวมทั้งไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนานาประเทศ จึงมีความเหมาะสมในเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง ที่จะเป็นฐานการผลิตของจีนเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่กำลังเติบโตสูง รวมทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี RCEP ที่ไทยทำร่วมกับประเทศต่าง ๆ 15 ประเทศ

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า ประเทศจีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุน โดยนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเป็นอันดับหนึ่งในช่วงก่อนโควิด มีจำนวน 11 ล้านคน ปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและกลับมาท่องเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน 

บีโอไอผนึกเซี่ยงไฮ้เชื่อมลงทุนไทย-จีน ดันอุตสาหกรรมอนาคต ด้านการค้าจีนถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย ที่มีสัดส่วนถึง 17% ของมูลค่าการค้ารวม ขณะที่ด้านการลงทุน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนจากจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด 

โดยในปี 2565 จีนขึ้นมาเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งที่มีสัดส่วนถึง 18% ของการลงทุนโดยรวม และในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จีนมีการยื่นคำขอลงทุนในไทย มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น

อย่างไรก้ดี เซี่ยงไฮ้ ถือเป็นมหานครที่มีประชากรและขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของจีน และเป็นมหานครอันดับ 6 ของโลก ในปี 2565 จีดีพีอยู่ที่ 22.5 ล้านล้านบาท (4.47 ล้านล้านหยวน) มีการพัฒนาเมืองและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเป็นผู้นำนวัตกรรมและฐานการผลิตของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ 

นอกจากนี้ นครเซี่ยงไฮ้ได้ผลักดันการพัฒนาเขตต่าง ๆ ให้เป็นพื้นที่พิเศษ โดยเฉพาะเขตพิเศษหลินกัง (Shanghai Lin-gang Special Area) ที่เน้นส่งเสริมการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล สุขภาพและการแพทย์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เป็นโอกาสที่จะเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัทไทยหลายรายที่ได้เข้าไปลงทุนในนครเซี่ยงไฮ้และเมืองใกล้เคียง เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ ปตท. สหยูเนี่ยน สามมิตร เครือดุสิตธานี และสถาบันการเงินหลายแห่ง เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น

บีโอไอ มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุน ทั้งการลงทุนในประเทศไทยและส่งเสริมผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มบทบาทของไทยในเวทีโลก โดยบีโอไอจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยสนับสนุนด้านข้อมูล ให้คำปรึกษา อำนวยความสะดวก และประสานงานกับประเทศปลายทาง ผ่านสำนักงานบีโอไอในต่างประเทศ 16 แห่ง ในจีนมี 3 แห่ง ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และกวางโจว 

อีกทั้งยังจัดกิจกรรมเชื่อมโยงและจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ผลิตและอุตสาหกรรมสนับสนุนในประเทศ โดยระหว่างวันที่ 10 – 13 พฤษภาคม 2566 นี้ จะมีการจัดงาน SUBCON THAILAND ซึ่งในปีนี้จะมีผู้ร่วมออกงานกว่า 150 บริษัท มีบริษัทผู้ซื้อจากต่างประเทศมากกว่า 10 ประเทศ และเกิดการจับคู่ธุรกิจกว่า 4,000 คู่