นายมาร์ค เบอร์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงนโยบายอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อรัฐบาลชุดใหม่ ว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ต้องการเห็นความต่อเนื่องของนโยบายด้านอุตสาหกรรมยานยนต์จากรัฐบาลชุดใหม่ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถลงทุนในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นโยบายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คือ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) ทั้ง 100% ภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ.2573) และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ.2039(พ.ศ.2582)
โดยที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีการร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (BOI) อย่างต่อเนื่อง และได้รับการส่งเสริมการลงทุนในส่วนของโครงการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าร่วมกับพันธมิตรอย่าง บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด และบริษัท ธนุบรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ผลิตรถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริดและเริ่มประกอบแบตเตอรี่ตั้งแต่ปี 2562
และปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เริ่มต้นไลน์การผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง EQS 500 4MATIC AMG Premium ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ประกอบในประเทศไทย
รวมถึงการผลิตแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ติดตั้งในรถรุ่นดังกล่าว ทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับลักชัวรี่แบรนด์รายแรกที่มีการผลิตและประกอบแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในประเทศไทย
นายมาร์ค เบอร์เกอร์ กล่าวอีกว่า นอกจากมาตรการทางภาษี สิ่งที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ต้องการคือการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนจากภาครัฐ เพราะข้อกฎหมายหลายครั้งต้องประสานหลายหน่วยงาน ทำให้ติดขัดอยู่บ้าง
ส่วนมาตรการแพคเกจอีวี 3.5 และแพคเกจแบตเตอรี่ ที่รัฐบาลเตรียมประกาศใช้ในส่วนของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมสนับสนุนทุกนโยบายของภาครัฐ
แต่จากการที่รัฐบาลออกแพคเกจอีวี 3 พบว่าเป็นกลุ่มกว้างราคาไม่แพง แต่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นรถยนต์อีกระดับหนึ่งซึ่งราคาสูง จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุม