ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนต่อยอดจากธุรกิจเดิมสู่ธุรกิจรีไซเคิล โดยจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ลดโลกร้อน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นหลัก
ทั้งนี้ WTX ได้ขายหุ้นเพิ่มทุนแก่นักลงทุนทั้งหมด 63.44 ล้านหุ้น มูลค่ารวมทั้งสิ้น 600 ล้านบาท ภายหลังได้รับเงินเพิ่มทุน คาดว่าเพิ่มโอกาสขยายการลงทุน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจในอนาคตได้เป็นอย่างดี และ WTX กำลังดำเนินการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อย่างไรก็ดี บริษัทได้มีการกระจายพอร์ตการลงทุนสู่ธุรกิจสีเขียว โดย SCN ได้เข้าลงทุนในบริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX) หรือชื่อเดิม คือ บริษัท ซันเทค รีไซเคิล แอนด์ ดีคาร์บอน จำกัด (SUNTECH) โดยการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนทั้งสิ้น 11,842,830 หุ้น เป็นจำนวนเงินทั้งหมด 112 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 6.4% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด ธุรกรรมดังกล่าวได้เสร็จสิ้นแล้วในเดือนมกราคม 2566 โดย WTX ประกอบธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับการแปรสภาพเหล็ก และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็ก
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 สิ้นสุดถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 มีกำไรขั้นต้นเติบโตเพิ่ม 738% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และกำไรรวมไตรมาส 1/66 จำนวน 74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 227% เทียบกับปีก่อนหน้า และเฉลี่ยเพิ่ม 316% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้
โดยกำไรรวมดังกล่าวไม่รวมกำไร one-time ที่เกิดจากขายเงินลงทุนใน TJN ในไตรมาส 1 ปี 2565 ทั้งนี้ปัจจัยจากการเติบโตที่ก้าวกระโดดนี้ สาเหตุหลักๆ เกิดจาก
บริษัทมีรายได้ในไตรมาส 1/66 จำนวน 387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนการรับรู้ผลการดำเนินงานเงินลงทุน SAP จากบริษัทร่วม เป็นบริษัทย่อยส่งผลให้มีการควบรวมจัดทำงบการเงินของ SAP เข้ามาตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2566 และปัจจัยต่อมา
รายได้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้รับอานิสงค์บวกจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ประกอบกับการบริหารจัดการราคาต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีรายได้ซ่อมบำรุงสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น
ยอดปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น มีปัจจัยหนุนจากปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น และปริมาณการขนส่งอื่นๆ เพิ่มขึ้นจากทั้งลูกค้ารายเก่าและรายใหม่
โครงสร้างรายได้จำแนกตามประเภทธุรกิจ ได้แก่ รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ ไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 249 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เทียบกับปีก่อนหน้า ,รายได้ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่ และรถโดยสารปรับอากาศ ไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 33 ล้านบาท
,รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% เทียบกับปีก่อนหน้า ,รายได้จากธุรกิจขนส่งและอื่นๆ ไตรมาส 1 ปี 2566 เท่ากับ 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เทียบกับปีก่อนหน้า และรายได้อื่นไตรมาส 1/66 จำนวน 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
และสำหรับโครงสร้างกำไรขั้นต้น จำแนกตามประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ มีกำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 230% เทียบกับปีก่อนหน้า
,ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ อะไหล่ และรถโดยสารปรับอากาศ มีกำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 4 ล้านบาท ,ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีกำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124% เทียบกับปีก่อนหน้า และธุรกิจขนส่งและอื่นๆ มีกำไรขั้นต้นในไตรมาส 1 ปี 2566 อีกจำนวน 8 หมื่นบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท
ดร.ฤทธี กล่าวอีกว่า บริษัทยังลงทุนเพิ่ม 10.23% ในบริษัทย่อย โดยเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 บริษัทได้เข้าซื้อหุ้น บริษัท สแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) จากบริษัท ไทย แอดวานซ์ โซลาร์ จำกัด จำนวน 273,612 หุ้น รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 18.52 ล้านบาท
การเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นใน SAP เพิ่มขึ้นจาก 58.69% เป็น 68.92% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะเงินลงทุนจาก บริษัทร่วม เป็นบริษัทย่อย โดยในไตรมาส 1/66 ผลการดำเนินงานของ SAP เติบโตถึง 48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า และอัตราค่าไฟฟ้า (Ft) ที่ปรับตัวสูงขึ้น
และในปัจจุบัน SAP ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ภาคเอกชน (Private Power Purchase Agreement) กับลูกค้าแล้วทั้งสิ้น 34 โครงการ รวมกำลังการผลิตทั้งหมด 21 MW โดยการเติบโตที่มีนัยยะสำคัญดังกล่าวทำให้บริษัทมีแผนนำ SAP ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในปีนี้อย่างแน่นอน