เมื่อกันยายน พ.ศ. 2565 บริษัท ซัมซุง ได้ประกาศกลยุทธ์ระดับสากลด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยงบลงทุนดังกล่าว จะใช้เพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ที่มุ่งเน้นการกรองก๊าซเรือนกระจก และดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดขึ้ระหว่างการผลิตชิป พร้อมทั้งพยายามทำให้ธุรกิจ Smart Devices (สมาร์ทโฟน, แท็บเลต ฯลฯ) ปลอดคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573
รวมทั้งมีแผนที่จะเพิ่มการรีไซเคิลทรัพยากรใน Supply Chain เช่น ลิเธียมและพลาสติก นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์การอนุรักษ์นํ้า การขยายการรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ และลดมลพิษ
ซัมซุง ได้เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มบริษัทที่มีการตั้งเป้าหมายในการใช้พลังงานสีเขียว 100% (100% Renewable Energy) หรือ RE100 โดยมีแผนให้ทุกหน่วยธุรกิจนอกเกาหลีใต้ รวมไปถึงแผนก Device eXperience (DX) ใช้พลังงานหมุนเวียนภายใน 5 ปี ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย โดยตั้งเป้าบรรลุเป้าหมายในภายในปี 2570
นายซังโฮ โจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า ซัมซุง ได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษในห่วงโซ่คุณค่าในระยะกลางถึงระยะยาว (ขอบเขตที่ 3) โดยมุ่งเน้นแนวทางใหม่ในการลดการปล่อยก๊าซในพื้นที่ต่างๆ เช่น ซัพพลายเชน โลจิสติกส์ และการหมุนเวียนของทรัพยากร ตลอดจนสนับสนุนซัพพลายเออร์ในการกำหนดเป้าหมายการปล่อยมลพิษและความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ทั้งนี้ มีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนทางตรงและทางอ้อมสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 จากการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงานระดับสูง ที่คาดว่าจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เทียบเท่าประมาณ 17 ล้านตัน (ฐานข้อมูลปี 2564) โดยปี 2565-2573 จะใช้งบประมาณลงทุนกว่า 1.74 แสนล้านบาท หรือกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 7 ล้านล้านวอน)
ขณะที่ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคทรอนิคส์ จำกัด ได้ชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity มอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและเชื่อมต่ออัจฉริยะ โดยตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยภายใน 3 ปี โดยปีที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายสมาร์ทโฮมเติบโตได้ถึง 72% เนื่องจากคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความยั่งยืนกับการประหยัดพลังงานมากขึ้น ทำให้ซัมซุงมองเห็นโอกาสในการเติบโตจากกลุ่มสมาร์ทโฮมค่อนข้างมากเช่นกัน
ซัมซุง ได้ยกระดับการเชื่อมต่ออุปกรณ์สมาร์ทโฮมให้ดียิ่งขึ้นด้วย Home Automation ครบวงจร โดยเป็นนวัตกรรมเดียวที่สามารถควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชั่น และติดตามการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า พร้อมทั้งมี AI Saving Mode ช่วยประหยัดไฟซึ่งสามารถลดค่าไฟโดยเฉลี่ยได้มากถึง 40% นอกจากนี้ SmartThings ของซัมซุง ยังเป็นนวัตกรรมแรกที่ได้รับรองมาตรฐานพลังงาน ENERGY STAR SHEMS
ทั้งนี้ ซัมซุง อิเลคทรอนิคส์ ได้ให้ความสำคัญกับการทำให้ผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงานและใช้ไฟฟ้าน้อยลง ขณะเดียวกันยังรับประกันว่า วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมีความยั่งยืนมากขึ้น ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงการกำจัดและการรีไซเคิล รวมถึงการพัฒนาชิปหน่วยความจำพลังงานตํ่าพิเศษใหม่ ที่มีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานต่อปีของผลิตภัณฑ์หน่วยความจำที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์เคลื่อนที่ลงอย่างมาก ภายในปี 2568 เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ปัจจุบัน
สำหรับการใช้เทคโนโลยีพลังงานตํ่า ซัมซุงใช้ในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ 7 กลุ่มหลัก ได้แก่ สมาร์ทโฟน ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ทีวี จอภาพ และพีซี โดยมีเป้าหมายลดระดับการใช้พลังงานลงโดยเฉลี่ย 30% ในปี 2573 เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเดียวกันในปี 2562
ซัมซุงได้วางแผนขยายขอบเขตการจัดเก็บขยะอิเล็กทรอนิกส์คืน จากเดิมเก็บได้กว่า 50 ประเทศ ขยายเป็นมากกว่า 180 ประเทศภายในปี 2573 ในขณะเดียวกันยังวางแผนจะจัดเก็บขยะอิเล็กทรอนิกส์คืนให้ได้อย่างน้อย 10 ล้านตัน ตั้งแต่ปี 2552-2573 ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และจะเก็บกลับให้ได้ 25 ล้านตันภายในปี 2593 นอกจากนี้ Samsung Electronics ยังจะส่งเสริมโปรแกรม upcycling ที่รวบรวมสมาร์ทโฟนที่ใช้แล้วและนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น อุปกรณ์ IoT (Internet of Things)
รวมไปถึงการผลิตที่ชาร์จแบตเตอรี่สำหรับสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบสแตนบายแบบไม่ใช้พลังงาน และการนำขยะจากแหล่งฝังกลบมาเข้ากระบวนการบริหารจัดการขยะและวัตถุดิบเหลือใช้ภายในปี 2568 เนื่องจากซัมซุง เป็นองค์กรขนาดใหญ่และมีการใช้ผลิตภัณฑ์ซัมซุงแพร่หลายทั่วโลก ดังนั้น ซัมซุงจึงสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกในการรักษาสิ่งแวดล้อมผ่านขนาดของธุรกิจทำให้ซัมซุงมีส่วนร่วมในเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการพัฒนาเทคโนโลยี