ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ประกอบกับต้องรักษารายได้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ( Adder) ที่กำลังทยอยสิ้นสุดลง กำลังเป็นความท้าทายในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจของ EGCO Group
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันการเติบโตของตลาดไฟฟ้าในประเทศไปอย่างจำกัด ทำให้ต้องมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว 7 ประเทศ หนึ่งในนั้นคือ สหรัฐอเมริกา ที่เห็นว่ามีโอกาสมหาศาล ด้วยการเข้าไปลงทุนทั้งหมด 3 โครงการ
เริ่มจากในปี 2564 ด้วยการซื้อหุ้น 28% ในโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น “ลินเดน โคเจน” ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังผลิต 972 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่เมืองลินเดน รัฐนิวเจอร์ซีย์ และในปีเดียวกัน เข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 17.46% ใน “บริษัท เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง” (APEX) ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาปี 2565 ลงทุนในสัดส่วน 49% ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง “ไรเซ็ก” (RISEC) กำลังผลิต 609 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในเมืองจอห์นสตัน รัฐโรดไอแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
“สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับการลงทุนที่มีอยู่ ทำให้มีโอกาสและโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ ปัจจุบัน EGCO Group ลงทุนใน USA คิดเป็นกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 622 เมกะวัตต์ หรือประมาณ 10% ของกำลังผลิตทั้งหมดในพอร์ตโฟลิโอ ที่มีอยู่ 6,202 เมกะวัตต์”
นายเทพรัตน์ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนใน APEX เป็นหนึ่งในการปักหมุดครั้งสำคัญในตลาดสหรัฐอเมริกา เนื่องจาก APEX มีโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้า ที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนารวมสูงถึง 50,000 เมกะวัตต์ เป็นโมเดลธุรกิจแบบใหม่หรือเป็นแบบไฮบริด (Hybrid) ที่ APEX จะพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีศักยภาพและเป็นที่สนใจของกลุ่มทุนและกองทุนต่างๆ ซึ่งไม่ได้ทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าโดยตรง เมื่อโครงการแล้วเสร็จและเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) จะมีมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ซึ่งบางโครงการที่ APEX เห็นว่าหากขายโรงไฟฟ้าแล้วทำกำไรได้ดีกว่าการขายไฟฟ้า ก็จะขายโครงการออกไป รวมทั้งยังสามารถนำรายได้จากการขายโรงไฟฟ้ามาเป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่ใน Pipeline ต่อด้วย ในขณะเดียวกัน EGCO Group สามารถเห็นรายละเอียดของโครงการก่อน สามารถเลือกซื้อโครงการได้ก่อนใครด้วย”
การลงทุนดังกล่าวทำให้ EGCO Group มีโอกาสทางธุรกิจเพิ่มขึ้น จากเดิมที่สร้างโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตไฟฟ้าขายอย่างเดียว ก้าวสู่การเป็น Developer หรือผู้พัฒนาโครงการที่สร้างโรงไฟฟ้าเพื่อขายโรงไฟฟ้าด้วย โดยช่วงนี้ EGCO Group กำลังใส่เงินลงทุนไปใน APEX ซึ่งจะสามารถเก็บเกี่ยวรายได้และผลกำไรจากการลงทุนได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า การลงทุนใน APEX จึงตอบโจทย์ EGCO Group ที่ต้องการโครงการใหม่ๆ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมที่สัญญาหมดอายุหรือหมด Adder รวมถึงสร้างการเติบโตและรายได้ที่ดีไปพร้อมกัน
“APEX เป็น Developer โครงการพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และแบตเตอรี่กักเก็บไฟฟ้า ที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนารวมสูงถึง 50,000 เมกะวัตต์”
นอกจากนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050 นั้น EGCO Group เร่งเดินหน้าในการศึกษา พัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานสะอาด รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก (Conventional) ที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ “เขียวขึ้น” ด้วยงบลงทุน 30,000 ล้านบาทต่อปี ในการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 1,000 เมกะวัตต์ต่อปี
ล่าสุด EGCO Group ประสบความสำเร็จในการนำก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นนํ้ามัน เบย์เวย์ ของบริษัท ฟิลิปส์ 66 ที่มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ มาผสมเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม พิสูจน์ได้ว่าช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยรวมลงประมาณ 10% ซึ่ง EGCO Group อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเชื้อเพลิงผสมในโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักอีกหลายแห่ง เช่น โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี โรงไฟฟ้าขนอม และโรงไฟฟ้าเคซอน เป็นต้น
ดังนั้น เชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยไฮโดรเจน จะเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่มีส่วนสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว เพราะเป็นพลังงานที่มีเสถียรภาพ จึงลดข้อจำกัดของพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ที่ยังพึ่งพาธรรมชาติอยู่มาก และไม่มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักได้