หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Plant-Based หรืออาหารที่มีพื้นฐานทำมาจากพืชกันจนคุ้นหูแล้ว เนื่องจากอาหารประเภทนี้เข้ามาเปิดตัวในตลาดไทยสักพักใหญ่แล้ว โดยแรกเริ่ม Plant-Based Food มีกระแสมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาและค่อยๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน
แม้ในช่วงสิบปีที่แล้วจะยังไม่ค่อยได้กระแสตอบรับที่ดีนัก แต่เมื่อผู้คนเริ่มเปิดใจและมีความใส่ใจในการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น อีกทั้งยังมีกลุ่มของผู้ที่บริโภคมังสวิรัติ อาหารเจ หรือผู้ที่อยากลดการบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับอาหาร Plant-Based ในปัจจุบันมีตัวเลือกที่หลากหลาย จึงไม่ยากที่ผู้บริโภคจะหันมาให้ความสนใจ และมีกระแสนิยมแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศฝั่งยุโรปหรือเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทย และอีกมากมาย
Plant-Based ทำมาจากอะไรบ้าง
Plant-Based เป็นอาหารที่ไม่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ โดยจะทำมาจากพืชที่มีโปรตีนสูง อาทิ
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Plant-Based
ช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้แต่ละประเทศมีมาตรการคุมเข้มและงดให้ผู้คนเดินทางออกจากที่พักอาศัยหากไม่จำเป็น เพื่อลดอัตราการติดเชื้อ และป้องกันไม่ให้ตัวเลขของผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น หลายๆ บ้านจำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคด้วยการประกอบอาหารทานเอง
และจากสายพันธุ์ของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีผลข้างเคียงที่กระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ทำให้ผู้คนมีความตระหนักในเรื่องของโภชนาการ และเลือกรับประทานกันมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้ดีขึ้น แม้สถานการณ์ของโควิด-19 หลังจากนั้นจะผ่อนคลายลง แต่กระแสความนิยมของ Plant-Based ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เปลี่ยนจากการซื้อวัตถุดิบอาหารจากพืชมาทำเอง เป็นออกไปรับประทานอาหารในร้านที่มีเมนู Plant-Based กันมากขึ้นนั่นเอง
ธุรกิจอาหาร Plant-Based ยั่งยืนจริงหรือไม่?
จากกระแสการทาน Plant-Based ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด ประกอบกับผู้คนเริ่มสนใจรับประทานอาหารตามร้านที่มีเมนู Plant-Based อยู่เรื่อยๆ แล้ว นอกจากผู้ประกอบการจะสามารถขายวัตถุดิบในร้านค้าสำหรับผู้บริโภคทั่วไปที่ซื้อไปปรุงอาหารเองแล้ว ยังสามารถขายให้กับลูกค้าที่ประกอบกิจการร้านอาหารได้อีกด้วย
คุณวิภู เลิศสุรพิบูล ผู้ร่วมก่อตั้ง มีท อวตาร ผลิตภัณฑ์เนื้อจำแลงที่ผลิตจากพืชเผยว่า ตอนนี้เทรนด์เปลี่ยนไปแล้ว จากที่ลูกค้าซื้อวัตถุดิบจากร้านค้าไปทำอาหารทานเอง กลายมาเป็นลูกค้าร้านอาหารค่อนข้างเยอะ เพราะพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป ร้านอาหารเริ่มให้ผลตอบรับกับ Plant-Based ดีมากขึ้น จากที่ไม่รู้ว่า Plant-Based คืออะไร หลายร้านเริ่มหันมาให้ความสนใจจำหน่ายอาหารประเภทนี้กันมากขึ้น
คุณภริศรา นวนิธิกุล Business Development Manager บริษัท ยู ดี เซิร์ท สตอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ UOAT (ยูโอ๊ต) นมจากพืชที่สกัดจากข้าวโอ๊ตออร์แกนิก 100% มองว่า Plant-Based ไม่ใช่แค่กระแสที่มาแบบฉาบฉวย เพราะการใส่ใจสุขภาพของคนเป็นเทรนด์ที่อยู่ในระยะยาว และเทรนด์นี้ก็เติบโตขึ้นมากหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้กลุ่มผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพอย่าง Plant-Based เติบโตขึ้นอย่างมากเช่นกัน
ทั้งยังบอกอีกว่า ในวันนี้กลุ่มคนที่บริโภคสินค้าเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นวีแกน(ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ)แบบ 100% เท่านั้น จากที่บางคนมีการทานมังสวิรัติในวันเกิด วันพระ หรือในโอกาสต่างๆ จะเห็นว่ามีความยืดหยุ่นในการรับประทานมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีอาหาร Plant-Based ที่มีคุณค่าทางสารอาหารและมีลูกเล่นใหม่ๆ ออกมาเป็นทางเลือกให้คนที่บริโภค Plant-Based หรือมังสวิรัติมากขึ้นไม่เหมือนที่ผ่านมาแล้ว
โอกาสในการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ Plant-Based
แม้ในธุรกิจสาย Plant-Based จะมีผู้แข่งขันในตลาดสูง แต่ด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละแบรนด์ ไม่ว่าจะแบรนด์เล็กหรือใหญ่ อาทิ คุณค่าทางโภชนาการ วัตถุดิบ สูตร รสชาติ กลิ่น ภาพลักษณ์และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับว่าผู้บริโภคมีความต้องการหรือความชอบในรสชาติและการนำเสนอแบบไหน
คุณอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ให้คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Plant-Based ว่า Plant-Based เป็นตลาดที่เน้นการแข่งขันในการสร้างความต้องการใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งจะเน้นไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าผ่านนวัตกรรมของสินค้ารูปแบบใหม่ๆ ที่อาจจะไม่เคยมีมาก่อนในตลาด มากกว่าไปแข่งขันในเรื่องของราคา ดังนั้น หัวใจสำคัญของการแข่งขันคือการสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ยังไม่เคยมีใครเข้าถึงมาก่อน
และยังแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุอยู่เสมอ เพื่อทำความเข้าใจกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และนำมาวิเคราะห์เพื่อต่อยอดในการทำการตลาดให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่น่านำมาใช้ร่วมกันคือ กลยุทธ์ Green Ocean ที่จะมุ่งเน้นไปทางกลุ่มเป้าหมายที่อนุรักษ์ธรรมชาติโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องผลิตสินค้าที่รักษาสิ่งแวดล้อม รักษ์โลก ลดการใช้ทรัพยากร และเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ก็น่าจะตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคอยู่กับแบรนด์ได้ในระยะยาว
Plant-Based สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อย่างไร?
นอกจากผู้คนจะหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองมากขึ้นแล้ว หลายคนเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน และตระหนักได้ว่าการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มมีส่วนทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ประกอบกับผู้บริโภคเริ่มเรียนรู้และหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหาร Plant-Based มากขึ้น ทำให้เข้าใจว่า
เนื้อสัตว์ที่ทำจากพืชก็เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็น และมีรสชาติที่เหมือนกับผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ ตลอดจนสามารถช่วยลดปัญหาการขาดแคลนอาหารที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (University Of Oxford) แสดงให้เห็นว่า การผลิตปศุสัตว์ขนาดใหญ่นั้นปล่อยก๊าซคาร์บอน และจำเป็นต้องใช้พื้นที่มหาศาล จึงมีการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ของฟาร์ม และในด้านของการเกษตรก็ต้องใช้น้ำจำนวนมากเพื่อเลี้ยงดูสัตว์อีกด้วย
ซึ่งทุกขั้นตอนของการผลิตเนื้อสัตว์ล้วนใช้ทรัพยากรและปล่อยของเสียทั้งสิ้น ทั้งการใช้น้ำ พลังงานในการเลี้ยงสัตว์ การทำความสะอาดโรงฆ่าสัตว์ การขนส่งอาหารและเนื้อสัตว์ รวมถึงการแปรรูปอาหาร
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การลดการบริโภคเนื้อสัตว์และนมอาจเป็นกุญแจสำคัญใน “วิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากภูมิภาคนี้ต้องการยุติภาวะโลกร้อน จะต้องลดการผลิตโปรตีนจากสัตว์ และเปลี่ยนไปใช้โปรตีนจากพืช กันให้มากขึ้น
ซึ่งหากประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญกับการผลิตและการพัฒนาโปรตีนทางเลือก ผลตอบแทนที่มีผลกับสภาพอากาศอาจมหาศาล
แหล่งที่มา :