นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยความคืบหน้าการลงทุนในธุรกิจใหม่ ปตท.สผ. ว่า ได้ขยายความร่วมมือกับโพสโค โฮลดิ้งส์ (POSCO Holdings) บริษัทผู้ผลิตเหล็กชั้นนำในเกาหลีใต้ ในการหาโอกาสการลงทุนโครงการผลิตบลูไฮโดรเจนและกรีนไฮโดรเจนแบบครบวงจร
รวมถึงโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) จากก่อนหน้านี้ที่ได้ร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการผลิตกรีนไฮโดรเจนขนาดใหญ่ในประเทศโอมาน
ขณะที่บริษัท ฟิวเจอร์เทค เอนเนอร์ยี่ เวนเจอร์ส จำกัด (FTEV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด ได้เริ่มผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ลานแสงอรุณ” เพื่อนำมาใช้ในกระบวนการผลิตปิโตรเลียมที่โครงการเอส 1 ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังได้ดำเนินการร่วมกับกรมประมง เพื่อศึกษาวิจัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่ และนำไปใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียม ที่ใช้ในการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์ และช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อน
อีกทั้งบริษัทได้ดำเนินโครงการ PTTEP Subsurface University Energy Connect โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ ศึกษา พัฒนางานวิจัย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อส่งเสริมการสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในสาขาวิชาธรณีศาสตร์ และวิศวกรรมปิโตรเลียม ให้กับอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งเป็นการสนับสนุนประเทศไทยทั้งการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) เพื่อเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกัน
นายมนตรี กล่าวอีกว่า ในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ปตท.สผ. มีความคืบหน้าการดำเนินงานทั้งธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและธุรกิจใหม่ โดยได้ดำเนินการเจาะหลุมผลิตและติดตั้งแท่นผลิตใหม่เพิ่มเติมในโครงการจี 1/61 ซึ่งเป็นไปตามแผนการเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในเดือนเมษายน 2567
อย่างไรก็ดี ยังเพิ่มการผลิตก๊าซฯ ในโครงการอาทิตย์ที่อัตราประมาณ 350 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณขายก๊าซฯ ตามสัญญา เพื่อสนองตอบต่อแนวทางของภาครัฐในการลดผลกระทบด้านต้นทุนพลังงานให้กับประชาชน
สำหรับผลประกอบการในรอบ 9 เดือนของปีนี้ ปตท.สผ. มีรายได้รวม 6,646 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 229,345 ล้านบาท และมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 457,737 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ย ลดลงประมาณ 10% มาอยู่ที่ 48.14 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ
อย่างไรก็ตาม รายจ่ายในรอบ 9 เดือนลดลง ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 1,694 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 58,422 ล้านบาท โดยยังคงรักษาต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ไว้ที่ 27.23 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ 74%
"จากผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนของปี 2566 ปตท.สผ. สามารถนำส่งรายได้ให้กับรัฐ ซึ่งอยู่ในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง โบนัสการผลิต และผลประโยชน์อื่น ๆ ประมาณ 47,600 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น"