ทั่วโลกเข้าสู่ยุค "โลกเดือด" โดยเฉพาะ "ปรากฎการณ์เอลนีโญ" ที่คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้าหรืออาจยาวกว่านั้น รัฐบาลภายใต้การนำของ "เศรษฐา ทวีสิน" ชูธงนำด้านเศรษฐกิจในการขับเคลื่อนประเทศ มีเสียงวิพากวิจารณ์ว่า การแถลงนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันที่ 11 – 12 ก.ย. 2566 ใน "มิติด้านสิ่งแวดล้อม" เป็น 1 ในนโยบายเร่งด่วน 100 วัน
“ความแปรปรวนของสภาพอากาศและโรคอุบัติใหม่ นอกจากจะเป็นภัยพิบัติที่สร้างผลกระทบโดยตรงต่อมนุษยชาติแล้ว ยังส่งผลทางอ้อมให้เกิดกฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับใหม่ ๆ ที่ส่งผลต่อรูปแบบการค้าและการท่องเที่ยวของโลก สภาวะอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) และได้สร้างความเสี่ยงให้กับพี่น้องเกษตรกรไทยจำนวนมากที่รัฐบาลจะต้องเตรียมความพร้อมรับมือเพื่อลดผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชน” คำแถลงนโยบาย ของ คณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566
ขณะเดียวกัน นายเศรษฐา กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการดำเนินการสภาพภูมิอากาศ (Climate Ambition Summit) ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 (UNGA78) สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยจะผลักดันไทยยกเลิกใช้ถ่านหิน เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด พื้นที่สีเขียว ขับเคลื่อนกรีนไฟแนนซ์
การประชุมคณะกรรมการเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ (El Nino) และ ลานีญา (La Nina) ของประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญและลาณีญาของประเทศไทย ประกอบคณะกรรมการจำนวน 21 ราย โดยมี รองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นประธานกรรมการ และอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาเป็นกรรมการและเลขานุการ นอกจากนี้ยังมีการพิจารณา ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ และเป้าหมายการทำงาน
ในการประชุม นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองประธานกรรมการ ชี้แจงสภาวะอากาศของโลก ความเปลี่ยนแปลง และผลกระทบต่างๆ ระบุว่า โลกร้อนขึ้นแน่นอน โลกรวนมีความแปรปรวน ทั้งที่สามารถคาดการณ์ได้และไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก มีมหาสมุทรอยู่ 2 ฝั่ง ฝั่งตะวันออก คือมหาสมุทรแปซิฟิก โดยทะเลจีนใต้ ฝั่งตะวันตก คือมหสุทรอินเดีย โดยทะเลอันดามัน
ดังนั้นประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจาก 2 มหาสมุทรที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันได้ภายใน 10 นาที - 1 ชั่วโมง ความแปรปรวนจึงมีสูงมากจนบางครั้งไม่สามารถแก้ไขได้ทัน ผลกระทบที่สำคัญจะกระทบชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจ
ประเทศไทยจึงต้องบริหารความเสี่ยง เตรียมความพร้อมเพื่อเผชิญเหตุความแห้งแล้งที่รุนแรงและยาวนาน เพราะปรากฎการณ์เอลนีโญจะเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งจะแสดงความรุนแรงชัดเจนในช่วงฤดูแล้งและจะแสดงความรุนแรงมากขึ้นในปีต่อๆไป โดยความเสียหายที่จะเกิดขึ้น กระทบ 7 ด้าน
ระบบนิเวศป่าไม้
ระบบนิเวศทางน้ำ
ระบบนิเวศทางอากาศ
การประมง
ปศุสัตว์
การเกษตร
น้ำกินน้ำใช้
ทั้งนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจ หากเกิดขึ้นยาวนาน 3 ปีขึ้นไป ต้องปรับตัว (Adaptation) ด้วยการจัดทำยุทธวิธี ดังนี้