ค่าใช้จ่ายด้านสภาพภูมิอากาศของสงครามและการทหารไม่สามารถละเลยได้อีกต่อไป การวิจัยใหม่ เผยให้เห็นข้อมูลที่น่าตกใจโดยพบว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในช่วง 2 เดือนแรกของสงครามอิสราเอลในฉนวนกาซานั้นมากกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปีของประเทศที่มีความเสี่ยงต่อสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลกกว่า 20 ประเทศ
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่ (99%) จากทั้งหมด 281,000 เมตริกตัน (คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ที่คาดว่าเกิดขึ้นในช่วง 2 เดือนแรก หลังการโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 มีสาเหตุมาจากการทิ้งระเบิดทางอากาศของอิสราเอลและการบุกรุกฉนวนกาซาภาคพื้นดิน
จากการศึกษาซึ่งอิงจากกิจกรรมที่ใช้คาร์บอนเข้มข้นเพียงไม่กี่กิจกรรม และอาจถือเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างมีนัยสำคัญ ต้นทุนสภาพภูมิอากาศการตอบโต้ทางทหารของอิสราเอลเทียบเท่ากับการเผาถ่านหินอย่างน้อย 150,000 ตัน ซึ่งครอบคลุมถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภารกิจเครื่องบิน รถถัง และเชื้อเพลิงจากยานพาหนะอื่นๆ ตลอดจนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการผลิตและระเบิดระเบิด ปืนใหญ่ และจรวด
ขณะเดียวกันจรวดของกลุ่มฮามาสที่ยิงใส่ฝั่งอิสราเอลในช่วงเวลาเดียวกันทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 713 ตัน เทียบเท่ากับถ่านหินประมาณ 300 ตัน สิ่งนี้ถือเป็นการตอกย้ำถึงความไม่สมดุลของอาวุธทางสงครามของแต่ละฝ่าย
ท่ามกลางเสียงเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้นให้ต้องรับผิดชอบมากขึ้นต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทางการทหาร ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่ส่วนใหญ่มักถูกเก็บเป็นความลับและไม่ได้รับการตรวจสอบในการเจรจาประจำปีของสหประชาชาติเกี่ยวกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยมีข้อมูลยืนยันได้จากการศึกษาก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นถึงรอยเท้าคาร์บอนที่แท้จริงอาจสูงกว่า 5 -8 เท่า หากรวมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากห่วงโซ่อุปทานสงครามทั้งหมดด้วย
การโจมตีฉนวนกาซาอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของอิสราเอล กลุ่มฮามาสสังหารชาวอิสราเอลมากถึง 1,200 คน ทำให้เกิดการเสียชีวิตและการทำลายล้างอย่างกว้างขวาง จากข้อมูลของหน่วยงานด้านสุขภาพในฉนวนกาซา ชาวปาเลสไตน์เกือบ 23,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กถูกสังหารแล้ว และอีกหลายพันคนถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังที่สันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว
หน่วยงานของสหประชาชาติระบุว่า ประมาณ 85% ของประชากรถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานและเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารและน้ำที่คุกคามชีวิต ตัวประกันชาวอิสราเอลมากกว่า 100 คนยังคงถูกคุมขังในฉนวนกาซา และทหารอิสราเอลหลายร้อยคนถูกสังหาร นอกเหนือจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในทันทีแล้ว ความขัดแย้งยังทำให้ภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศโลกรุนแรงขึ้น ซึ่งไปไกลกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากระเบิดและเครื่องบิน
เนื่องจากการวิจัยครั้งใหม่คำนวณว่า ต้นทุนคาร์บอนในการสร้างอาคารที่เสียหาย 100,000 หลัง ในฉนวนกาซาขึ้นใหม่ โดยใช้เทคนิคการก่อสร้างร่วมสมัยจะก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนอย่างน้อย 30 ล้านเมตริกตัน ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยคาร์บอนประจำปีของนิวซีแลนด์ และสูงกว่า 135 ประเทศและดินแดนอื่นๆ รวมถึง ศรีลังกา เลบานอน และอุรุกวัย
ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ความแห้งแล้ง และความร้อนจัด กำลังคุกคามแหล่งน้ำและความมั่นคงทางอาหารในปาเลสไตน์อยู่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในฉนวนกาซาขณะนี้เป็นหายนะ เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูก พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานน้ำส่วนใหญ่ถูกทำลายหรือปนเปื้อน โดยอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพไปอีกนานหลายทศวรรษ จนถึงขณะนี้ อาคารในกาซาประมาณ 36% - 45%ทั้งบ้าน โรงเรียน มัสยิด โรงพยาบาล ร้านค้า ถูกทำลายหรือเสียหาย และการก่อสร้างเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน