รายงานที่ กระทรวงการคลังอิสราเอล ยื่นต่อรัฐสภาเมื่อวันจันทร์ (25 ธ.ค.) ระบุว่า งบประมาณโดยรวม ในปี 2567 อาจจะสูงถึง 5.62 แสนล้านเชเกล เมื่อเทียบกับระดับ 5.13 แสนล้านเชเกลของงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติในเดือนพ.ค.ปีนี้
นอกเหนือจาก การใช้จ่ายด้านกลาโหม แล้ว กระทรวงการคลังอิสราเอลระบุว่ารัฐบาลควรเพิ่มการใช้จ่ายด้านการศึกษาอีก 1 หมื่นล้านเชเกล เพื่อให้ครอบคลุมถึงประชาชนราว 120,000 คนในพื้นที่ตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ อีกทั้งควรเพิ่มงบประมาณสำหรับกรมตำรวจและหน่วยงานอื่น ๆ ที่ให้บริการด้านความปลอดภัย และควรจัดสรรงบประมาณสำหรับการบูรณะฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายในช่วงที่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เอกสารของกระทรวงการคลังอิสราเอล ประเมินจากสมมติฐานที่ว่า การสู้รบอันดุเดือนกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาจะสิ้นสุดลงในไตรมาส 1 ของปี 2567
การประเมินดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า อิสราเอลกำลังเผชิญกับต้นทุนการทำสงครามที่สูงขึ้น หลังจากรัฐบาลได้ระดมทหารกองหนุนหลายพันคนเข้าร่วมปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดินทางตอนใต้ของฉนวนกาซาเพื่อตอบโต้กลุ่มฮามาส และส่งทหารเข้าประจำการเพิ่มขึ้นในพื้นที่ตอนเหนือ เพื่อรับมือกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่มีฐานที่มั่นในเลบานอน
นอกจากนี้ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลจำเป็นต้องใช้จรวดที่ทันสมัยเพื่อยิงสกัดจรวดและโดรนที่พุ่งเป้าโจมตีดินแดนอิสราเอล ซึ่งอาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีราคาที่สูงมาก
เมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอล โดยมีแนวโน้มที่จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ A1 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส
มูดี้ส์ระบุว่า อิสราเอลได้ใช้จ่ายเงินด้านกลาโหมประมาณ 4.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และคาดว่าอิสราเอลจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเมื่อพิจารณาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้
ทั้งนี้ มูดี้ส์เตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิสราเอล หากความขัดแย้งทางทหารในปัจจุบันทำให้สถาบันต่าง ๆ ของอิสราเอลมีความอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสิทธิภาพของการกำหนดนโยบาย รวมทั้งความแข็งแกร่งด้านการคลังและเศรษฐกิจของประเทศ