“ลาซาด้า รุกคืบกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน หนุนผู้ค้าและสินค้าแบรนด์นอกให้เข้าถึงตลาดนักช้อปออนไลน์บนแพลตฟอร์มลาซาด้าเพิ่มมากขึ้น หลังพบความต้องการของผู้บริโภคพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ดันยอดขายสินค้าข้ามพรมแดนเติบโตกว่าสี่เท่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา'
มร. จิง ยิน (Jing Yin) ประธานกรรมการ (ร่วม) ของ ลาซาด้า กรุ๊ป กล่าวระหว่างการประชุมผู้ขายสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์มลาซาด้า ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน โดยมีผู้ค้ากว่า 1,000 รายเข้าร่วมประชุมและรับฟังคำแนะนำด้านกลยุทธ์ที่ลาซาด้าพัฒนา เพื่อให้ผู้ค้าสามารถเข้าถึงลูกค้าในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ดีขึ้นว่า หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของลาซาด้า คือการนำแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพจากผู้ค้าข้ามพรมแดน (Cross-border sellers) มานำเสนอบนแพลตฟอร์มของลาซาด้า ผลักดันให้เติบโต พร้อมทั้งดูแลรักษา แบรนด์ชั้นนำ 300 อันดับแรกใน 6 ตลาดหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยลาซาด้าต้องการทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างร้านค้าข้ามพรมแดนที่มีคุณภาพกับผู้บริโภคกว่า 560 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเปิดโอกาสให้แบรนด์เหล่านี้สามารถพัฒนาตลาดและเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ผ่านการแสดงผลการค้นหาที่ช่วยให้สินค้าข้ามพรมแดนจากผู้ขายสามารถปรากฏต่อสายตาลูกค้าได้มากขึ้น เมื่อลูกค้ามีการเรียกดูเว็บไซด์หรือใส่คำค้นหาสินค้า นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงระบบการคัดแยกประเภทสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์มลาซาด้าให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย
“ด้วยความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นสุดยอดจากอาลีบาบา (Alibaba) ผนวกกับความเข้าใจด้านตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเชิงลึกของเรา ลาซาด้าสามารถหยิบยื่นความรู้และเครื่องมือต่างๆ ให้กับผู้ขายสินค้าข้ามพรมแดนและบรรดาแบรนด์สินค้าต่างๆ เพื่อก้าวไปพร้อมกับการเติบโตอย่างมหาศาลในภูมิภาคนี้”มร.จิง กล่าว
สำหรับการพัฒนาของลาซาด้าที่สำคัญคือ การปรับปรุง “โกลบอล คอลเลคชั่น” (Global Collection) ช่องทางการซื้อขายสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์มลาซาด้า ซึ่งได้อัพเกรดเป็น “โกลบอล คอลเลคชั่น 2.0” โดยพัฒนาฟังก์ชั่นช่วยการค้นหาด้วยอัลกอริทึมการคัดกรองประเภทสินค้าข้ามพรมแดนและแสดงผลผู้ขายสินค้าคุณภาพและได้รับความนิยม ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าเหล่านั้นได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
ในส่วนของการบริการภายใต้ โกลบอล คอลเลคชั่นนี้ ลาซาด้ายังได้พัฒนาระบบให้ลูกค้าได้รับสินค้ารวดเร็วยิ่งขึ้น โดยลูกค้าที่เลือกประเภทบริการจัดส่งพัสดุสินค้าแบบมาตรฐาน จะสามารถรับสินค้าได้ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่สั่งสินค้า ด้านผู้ค้าเองยังสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการบริการและขายสินค้าบนแพลตฟอร์มลาซาด้า ด้วยแคมเปญใหม่ที่มาพร้อมกับเครื่องมือและข้อมูลเชิงลึก โดยผู้ค้าจะได้รับรายงานประจำสัปดาห์เกี่ยวกับคำค้นยอดนิยมและรายการสินค้าที่ลูกค้ามองหาบนลาซาด้า ทั้งนี้เพื่อผู้ค้านำไปพัฒนาการขายให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีขึ้น
สำหรับ โกลบอล คอลเลชั่น ของลาซาด้า เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2556 และได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นตลาดซื้อขายสินค้าที่มีความหลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งที่รวมเอาแบรนด์และผู้ค้าจากทั่วทุกมุมโลกมาไว้ในที่เดียว โดยผู้ขายสินค้าข้ามพรมแดนห้าอันดับแรกมาจากประเทศจีน ฮ่องกง เกาหลี สหรัฐอเมริกา และยุโรป ตามลำดับ และมีสินค้ายอดนิยม ได้แก่ สินค้าประเภทแฟชั่นสตรี สินค้าสำหรับบ้านและที่อยู่อาศัย และแฟชั่นเด็ก ทั้งนี้จากการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีพื้นฐานอันแข็งแกร่งของอาลีบาบา รวมถึงเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมในวงกว้างและไร้คู่แข่ง ลาซาด้ายังเตรียมที่จะเปิดตัวตลาดสินค้าประเภทใหม่ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีขนาดใหญ่ อาทิ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในบ้านอีกด้วย
ปีที่ผ่านมา ลาซาด้าได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยสถิติการจัดส่งสินค้าผ่านตัวแทนรับส่งพัสดุของลาซาด้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านชิ้นต่อวัน ทั้งนี้ลาซาด้าได้ตอบรับต่อความต้องการของลูกค้าซึ่งมากเป็นประวัติการณ์ โดยจับมือพันธมิตรด้านโลจิสติกส์กว่าหนึ่งร้อยราย รวมถึงผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุรายอื่นๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริการและจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็วทันใจ นอกจากนี้ยังได้เช่าเครื่องบินขนส่งสินค้าแบบเหมาลำส่งพัสดุสินค้าข้ามพรมแดนน้ำหนักรวมกว่า 200 ตันสู่มือนักช้อปในประเทศอินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ และ ไทย เพื่อให้ทันเวลาสำหรับช่วงเทศกาลวันหยุดพิเศษอีกด้วย
ทั้งนี้ ยอดการใช้จ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มสูงมากเป็นประวัติการณ์ได้สะท้อนถึงความต้องการสินค้าข้ามพรมแดนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยยอดขายสินค้าข้ามพรมแดนบนแพลตฟอร์มของลาซาด้าในภูมิภาคนี้มีการเติบโตถึง 4.6 เท่าภายในระยะเวลาสามปี นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตลาดจะมีมูลค่าสูงถึง 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2568 ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ถึง 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ