ช่วงปีที่ผ่านมานั้นจะเห็นว่าทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยต่างมีการตื่นตัวและตระหนักถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและที่กำลังจะเกิดในอนาคต โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และ Machine Learning (ML) ที่เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามองมากที่สุดในปี 2020 เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญให้กับภาคธุรกิจของไทย ซึ่งในทุกอุตสาหกรรมจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการให้บริการ ทั้งนี้บริษัทให้คำปรึกษาและวิจัยอย่าง Gartner ได้เผย 10 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในปี 2020 ภายใต้แนวคิด 2 ส่วนคือ คนเป็นศูนย์กลาง (People Centric) และพื้นที่อัจฉริยะ (Smart Spaces)ประกอบด้วย
1.Hyperautomation เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่องจักร (ML) เพื่อการทำงานแบบอัตโนมัติที่ครอบคลุมเครื่องมือหรือเครื่องจักรต่างๆ ที่มีความซับซ้อน Hyperautomation จะส่งผลให้เกิด Digital Twin Organization ที่ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์หรือทำนายภาวะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
2. Multiexperience หรือการเปลี่ยนบริบทจากการที่มนุษย์ต้องเข้าใจเทคโนโลยี เป็นเทคโนโลยีที่ต้องเข้าใจมนุษย์ วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มการปฏิสัมพันธ์ในหลายจุด ด้วยอุปกรณ์ที่สวมใส่และเซ็นเซอร์คอมพิวเตอร์ขั้นสูง อาทิ Augmented Reality (AR), Virtual Reality(VR), Mixed Reality (MR)
3. Democratization การเข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างเสรี หมายถึงการให้ผู้คนเข้าถึงเทคนิคหรือความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจได้ง่าย โดยมุ่งเน้นปัจจัยสำคัญคือ การพัฒนาแอพพลิเคชัน, การวิเคราะห์ข้อมูล, การออกแบบและองค์ความรู้ ทำให้สามารถสร้างแบบจำลองข้อมูลโดยไม่ต้องมีทักษะของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลแต่พัฒนาได้ด้วย AI
4. Human augmentation การเพิ่มความสามารถของคน ด้วยการใช้เทคโนโลยีทั้งการรับรู้และทางกายภาพของบุคคลตัวอย่าง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์หรือเหมืองแร่ ที่ใช้อุปกรณ์สวมใส่เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงการเพิ่มความสามารถทางกายภาพในหลายด้าน
5. ความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ วิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดภาวะวิกฤติของความน่าเชื่อถือ ผู้บริโภคมีความตระหนักถึงข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้น รวมถึงองค์กรที่ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบในการจัดเก็บข้อมูล เช่นเดียวกับกฎหมาย GDPR ที่ประกาศให้มีการใช้ทั่วโลก เพื่อผลักดันให้เกิดกฎพื้นฐานสำหรับองค์กรต่างๆ
6.Empowered Edge เป็นเทคโนโลยีที่มีการประมวลผลข้อมูล รวบรวมเนื้อหาและการจัดเก็บข้อมูลที่อยู่ใกล้กับแหล่งข้อมูล (Endpoint) ให้มากขึ้นเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล Empowered Edge จะสามารถสร้างพื้นที่อัจฉริยะเพื่อย้ายแอพพลิเคชันและบริการที่สำคัญไปใกล้กับผู้ใช้และอุปกรณ์ที่มีการใช้งาน
7. Distributed Cloud คลาวด์แบบกระจาย หรือการกระจายบริการคลาวด์สาธารณะไปยังสถานที่ต่างๆ นอกศูนย์ข้อมูลทางกายภาพของผู้ให้บริการคลาวด์ แต่ยังคงถูกควบคุมโดยผู้ให้บริการ ซึ่งคลาวด์แบบกระจายช่วยให้ศูนย์ข้อมูลตั้งอยู่ที่ใดก็ได้ เพื่อแก้ปัญหาด้านเทคนิคเช่นความล่าช้าและความท้าทายด้านกฎระเบียบ
8. Autonomous Things หรือสิ่งที่สามารถควบคุมด้วยตนเองได้อย่างอิสระ เช่น โดรน หุ่นยนต์ เรือ และ อุปกรณ์ AI ที่ปฏิบัติงานตามที่มนุษย์สั่งการ สามารถข้ามสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลาย ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้มีการเริ่มใช้งานแล้วในพื้นที่ปิด อาทิ เหมืองหรือโกดังสินค้า แต่ในอนาคตจะสามารถพัฒนาให้มีการใช้งานได้ในทุกพื้นที่
9.Practical Blockchain ในปัจจุบันบล็อกเชนอาจจะยังไม่ได้รับความนิยมในองค์กรขนาดใหญ่เนื่องจากขาดความยืดหยุ่นและความสามารถในการทำงานร่วมกัน แต่ในอนาคตในปี 2566 คาดว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนที่สมบูรณ์ “Blockchain Complete” จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจด้วยการทำงานร่วมกับ AI และ IoT
10.AI Security การพัฒนาเทคโนโลยี เช่น Hyperautomation และ Autonomous Things ทำให้เกิดโอกาสในการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ แต่ก็สร้างช่องโหว่ด้านความปลอดภัยต่อการถูกโจมตี ทีมรักษาความปลอดภัยจึงจะต้องตระหนักถึงและใช้ประโยชน์จาก AI เข้ามาช่วยรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
หน้า 5 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,536 วันที่ 2-4 มกราคม 2563