นายแดเนียล จาง ประธานกรรมการและซีอีโอ บริษัทอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “อาลีบาบาเริ่มต้นปีงบประมาณนี้ด้วยไตรมาสแรกที่ดี โดยในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2564 อีโคซิสเต็มทั้งหมดของอาลีบาบามีจำนวนลูกค้าประจำทั่วโลกแตะ 1,180 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 45 ล้านคนจากไตรมาสเดือนมีนาคม ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน ตลอดการดำเนินงานมามากกว่า 20 ปี อาลีบาบาได้พัฒนาธุรกิจออนไลน์ จนปัจจุบันครอบคลุมทั้งฝั่งผู้บริโภคและอุตสาหกรรม และมีกลไกมากมายที่ขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว เราเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และการสร้างคุณค่าในระยะยาวของอาลีบาบา เราจะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสบการณ์ให้กับผู้บริโภค และช่วยให้ลูกค้าองค์กรของเราประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ดิจิทัล”
ด้านนาย แม็กกี้ วู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างที่เราเคยประกาศไว้ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่แล้วว่า เรากำลังนำกำไรส่วนเกินและเงินทุนมาลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนผู้ขาย และลงทุนในธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของเราเพื่อเจาะตลาดใหม่และให้บริการผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น เรากำลังเพิ่มวงเงินให้กับโครงการซื้อหุ้นคืน (Share repurchase) จากเดิม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท เพราะเราเชื่อมั่นว่าอาลีบาบามีศักยภาพในการสร้างการเติบโตระยะยาว เรามีเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่ง และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เราซื้อหุ้นคืนจากใบรับฝากหุ้นที่ออกโดยสถาบันการเงินในสหรัฐ (ADS) แล้วราว 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ”
ข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ
จากผลประกอบการประจำไตรมาส เมื่อสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564
• รายได้รวม อยู่ที่ 205,740 ล้านหยวน (ราว 1,053,311 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หากไม่นับการรวมธุรกิจของ Sun Art แล้ว รายได้ของบริษัทเติบโตที่ 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 187,306 ล้านหยวน (ราว 958,936 ล้านบาท)
• จำนวนลูกค้าประจำต่อปี (Annual active consumers) ในอีโคซิสเท็มของอาลีบาบาทั่วโลกในรอบ 12 เดือน เมื่อสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้านคน เพิ่มขึ้น 45 ล้านคนเมื่อเทียบกับตัวเลขในรอบ 12 เดือน เมื่อสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 ในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน และ 265 ล้านคนในต่างประเทศซึ่งให้บริการโดยลาซาด้า อาลีเอ็กซเพรส Trendyol และ Daraz
• กำไรจากการดำเนินงาน (Income from operations) อยู่ที่ 30,847 ล้านหยวน (ราว 157,925 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted EBITDA) และคำนวณแบบ non-GAAP เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 48,628 ล้านหยวน (ราว 248,957 ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted EBITA) และคำนวณแบบ non-GAAP เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ 41,731 ล้านหยวน (ราว 213,647 ล้านบาท) โดยสาเหตุหลักที่ทำให้การเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เกิดจากการลงทุนในธุรกิจเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ เช่น Community Marketplaces, เถาเป่า ดีลส์, Local Consumer Services และลาซาด้า รวมทั้งการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตให้กับมาร์เก็ตเพลสค้าปลีกในจีน เช่น Idle Fish และเถาเป่า ไลฟ์ และการสนับสนุนผู้ขายของบริษัท
• กำไรสุทธิสำหรับผู้ถือหุ้นสามัญ (Net income attributed to ordinary shareholders) อยู่ที่ 45,141 ล้านหยวน (ราว 231,104 ล้านบาท) กำไรสุทธิ (Net income) อยู่ที่ 42,835 ล้านหยวน (ราว 219,299 ล้านบาท) กำไรสุทธิที่คำนวณแบบ Non-GAAP (Non-GAAP net income) คิดเป็น 43,441 ล้านหยวน (ราว 222,401 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการลงทุนร่วมตามวิธีส่วนได้ส่วนเสีย (Equity method) มีการแบ่งส่วนกำไรเพิ่มขึ้น
• กำไรต่อหุ้นปรับลดในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (Diluted earnings per ADS) เท่ากับ 16.38 หยวน (ราว 83.86 บาท) กำไรต่อหุ้นปรับลดในตลาดหุ้นสหรัฐที่คำนวณแบบ Non-GAAP (Non-GAAP diluted earnings per ADS) เท่ากับ 16.60 หยวน (ราว 84.99 บาท) เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และกำไรปรับลดต่อหุ้นที่คำนวณแบบ Non-GAAP (Non-GAAP diluted earnings per share) เท่ากับ 2.08 หยวน (ประมาณ 10.65 บาท) เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
• กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (Net cash provided by operating activities) อยู่ที่ 33,603 ล้านหยวน (ราว 172,034 ล้านบาท) ส่วนกระแสเงินสดสุทธิที่คำนวณแบบ Non-GAAP (Non-GAAP free cash flow) อยู่ที่ 20,683 ล้านหยวน (ประมาณ 105,889 ล้านบาท) ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับ 36,570 ล้านหยวนในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักมาจากการจ่ายค่าปรับบางส่วนเป็นจำนวนเงิน 9,114 ล้านหยวน (ราว 46,660 ล้านบาท) จากค่าปรับทั้งหมด 18,228 ล้านหยวน ตามคำสั่งของสำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งรัฐของจีน (ค่าปรับเพื่อต่อต้านการผูกขาดตลาด) และกำไรที่ลดลงเนื่องจากบริษัทนำเงินไปลงทุนในธุรกิจหลักเชิงกลยุทธ์