ระอุ สภาผู้บริโภค ขู่ยื่น ป.ป.ช. ถอดถอน กสทช. เอื้อเอกชนผูกขาดธุรกิจ

19 พ.ย. 2566 | 06:16 น.
อัปเดตล่าสุด :19 พ.ย. 2566 | 06:31 น.

2 ดีลยักษ์ควบรวม TRUE- DTAC และ AIS – 3BB ระอุ 2 ระอุ สภาผู้บริโภค เตรียมยื่น ป.ป.ช. ถอดถอน กสทช.ทั้งคณะ เอื้อเอกชนผูกขาดธุรกิจ

การควบรวมธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 2 ดีลยักษ์ ระหว่าง TRUE- DTAC และ AIS – 3BB ระอุขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อสภาผู้บริโภค เตรียมเสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถอดถอนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกจากตำแหน่งทั้งคณะ เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ที่อาจเข้าข่ายบกพร่องและไม่กำกับดูแล สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อผู้บริโภค 

สภาผู้บริโภค เห็นว่า กรณีที่สำนักงานกสทช. มีมติรับทราบการควบรวมระหว่างบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) รวมทั้งการอนุญาตให้ควบรวมบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) บริษัทในเครือบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และบมจ. ทริปเปิลบี บรอดแบนด์ (3BB) ส่งผลให้ผู้บริโภคอาจจะต้องแบกรับจากราคาค่าบริการที่เพิ่มมากขึ้น

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า การทำงานของ กสทช.ชุดปัจจุบัน หากสะท้อนจากมุมมองของคนนอกจะเหมือนเป็นสงครามตัวแทน (proxy war) ระหว่างสองรายใหญ่เพราะคนที่ได้ประโยชน์ชัดเจนคือ ผู้ประกอบการทั้งสองราย ในทางกลับกัน กลับไม่เห็นความพยายามในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคในกสทช. ที่ชัดเจน แม้แต่กรรมการ กทสช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค
 

"สิ่งที่น่าเสียใจคือ การปฏิรูปกิจการคลื่นความถี่โทรคมนาคมในประเทศไทยดูเหมือนจะมีความคืบหน้า แต่ในความเป็นจริงกลับถอยหลัง และเป็นการถอยหลังที่มองไม่เห็นอนาคตว่าจะไปอย่างไรกันต่อ โดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมือนจะไม่มีความหวัง ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับการเป็นปากเสียงให้ผู้บริโภคในองค์กรอิสระที่มีศักดิ์ศรีและได้รับการคุ้มครองความอิสระตามเจตนารมณ์ในรัฐธรรมนูญ" นางสาวสุภิญญาระบุ

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ภาวะความขัดแย้งและความเห็นต่างในองค์กรอิสระเป็นเรื่องปกติเนื่องจากกรรมการแต่ละท่านต่างมีจุดยืนของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งของกสทช.ชุดนี้กลับมองไม่เห็นว่าเชื่อมโยงกับประโยชน์สาธารณะอย่างไรและมีผลประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างไร  

"ปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าผู้บริโภคในยุค 5G และ 6G และขณะนี้กำลังจะเข้าสู่ยุค AI และ Internet of Things ปัญหารุมเร้าทั้งในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มิจฉาชีพที่มาจากแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ สแกมเมอร์และสแปมต่าง ๆ รวมไปถึงคุณภาพในการให้บริการ ผู้บริโภคถึงกับมืดมนว่าจะพึ่งใคร ถ้าองค์กรที่ควรจะเป็นที่พึ่งอย่าง กสทช.กลายเป็นทไวไลท์โซนหรือแดนสนธยาที่แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปไม่ถึง เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นความหวังให้กับเราได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา" นางสาวสุภิญญากล่าว

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ความล้มเหลวของ กสทช.ในการคุ้มครองผู้บริโภคมี 3 ประการ

ประการแรกคือ การลงมติ "รับทราบ" การรวมธุรกิจระหว่าง TRUE- DTAC โดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน แต่ในการประชุมลงมติกรณี AWN - 3BB ที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมาก 5:2 เห็นว่าเป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่บกพร่องมีการตัดสินที่ผิดพลาดในเบื้องต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังได้อนุญาตให้เกิดการควบรวมระหว่างค่าย AWN - 3BB ที่เป็นความผิดพลาดครั้งที่สอง เพราะเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนในการรับบริการโทรคมนาคมที่ถูกเอาเปรียบการมีอำนาจเหนือตลาดของธุรกิจเอกชน

"ที่ผ่านมาภาคประชาชน รวมทั้งนักวิชาการและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ในการคัดค้าน กสทช.ไปจนถึงการฟ้องคดีที่ศาลปกครอง เพื่อให้ กสทช.ใช้อำนาจของตัวเอง แต่สุดท้ายกสทช.ก็ทำหน้าที่เพียงรับทราบ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ กสทช. ไม่สามารถกำกับหรือควบคุมให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคได้ตามมาตรการที่ตัวเองออกแบบไว้" นางสาวสารี กล่าว

ประการที่สองคือการมีมติอนุญาตให้ AWN - 3BB ควบรวมกิจการได้ โดยไม่คำนึงว่าจะทำให้เกิดการผูกขาดอินเทอร์เน็ตตามมา ซึ่งทำให้บริษัทที่ควบรวมได้รับประโยชน์โดยตรงที่สำคัญ กล่าวคือทำให้ บริษัท AWN มีส่วนแบ่งในตลาดของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตประจำที่มากถึงร้อยละ 44.44 ในขณะที่ลำดับที่สองและสาม คือ บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด (TICC) และ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 37.47% และ 15.44% ตามลำดับ

นอกจากนี้ การควบรวม AWN - 3BB ยังส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการไม่ต้องลงทุนโครงข่ายซ้ำซ้อนคิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทในเวลา 5 ปี การที่คณะกรรมการ กสทช. ได้กำหนดมาตรการให้นำเงินที่ประหยัดได้นี้ไปลงทุนสร้างโครงข่ายเพิ่มในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งหากพิจารณาอย่างผิวเผินจะเห็นว่าประชาชนได้รับประโยชน์ แต่ทางกลับกันจะทำให้บริษัท AWN ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากถึงเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดทั้งหมด มีโอกาสใช้เงินทุนที่เหนือกว่าคู่แข่งที่เป็นผลพวงจากการได้รับอนุญาตให้ควบรวมกิจการ ทำลายพื้นที่การแข่งขันของผู้ให้บริการเจ้าอื่นได้เช่นกัน โดยเฉพาะ NT

"จากเอกสารที่ กสทช. ใช้ชี้แจงต่อองค์กรผู้บริโภคจะว่าการควบรวมครั้งนี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคด้านราคาโดยมีงานวิจัยหลายชิ้นที่สะท้อนผลกระทบด้านราคาเพิ่มขึ้นหลังจากควบรวม และตัวเลขที่ถูกคาดการณ์มีทั้งที่บอกว่า ค่าบริการจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 - 13.4 เปอร์เซ็นต์ หรือบางงานวิจัยบอกว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 - 45 หรืองานวิจัยของ 101 PUB ที่ระบุว่าราคาจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 - 22.9  ซึ่ง กสทช.กำลังจะบอกว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้สามารถจัดการได้ แต่พวกเราไม่มีความมั่นใจเลยและไม่เชื่อว่ากสทช. จะทำได้จริง" สารีกล่าว

ประการที่สาม คือ ความล้มเหลวในการกำกับหรือสั่งการสำนักงาน กสทช. หลักฐานเชิงประจักษ์คือ ถึงแม้กรรมการเสียงข้างมากจะมีมติให้ดำเนินการกับรักษาการเลขาธิการ แต่ก็ไม่มีผลในการใช้บังคับ หรือกรณีการควบรวม TRUE –  DTAC ที่สำนักงาน กสทช. ไม่สามารถกำกับดูแลบริษัทให้ทำตามมาตรการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ นำมาสู่คำถามและข้อกังขาว่ากรณีการควบรวม AWN – 3BB กสทช. จะสามารถควบคุมไม่ให้บริษัทขึ้นราคาได้หรือไม่ และเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้น

ประการสุดท้ายถูกสะท้อนจากการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากปัญหาภายใน ดังนั้น ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน กสทช. ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะกรรมการ กสทช. ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค แต่กลับไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม 

ยกตัวอย่างเช่น มาตรการหลังการควบรวมทรู - ดีแทคที่กำหนดให้บริษัทต้องลดราคาลงร้อยละ 12 ภายใน 90 วันหลังการควบรวม หรือการกำหนดให้แสดงแหล่งที่มาของเอสเอ็มเอสจะต้องบอกเพื่อลดปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถกำกับให้บริษัทปฏิบัติตามมาตรการหรือเงื่อนไขดังกล่าวได้

นางสาวนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า  ปัจจุบันมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคในเรื่องการควบรวมโดยมีข้อมูลการสำรวจตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน ถึงปัจจุบันมีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามประมาณ 2,700 คน โดยพบปัญหาคุณภาพการใช้บริการลดลง ค่าโปรโมชั่นแพงขึ้น โดยหลังจากนี้จะมีการเปิดเผยผลสำรวจที่ลงลึกมากขึ้น