thansettakij
วัดพลังตัวตึงอีคอมเมิร์ซ “ช้อปปี้ VS ลาซาด้า” ชิงตลาด 9.06 แสนล้าน

วัดพลังตัวตึงอีคอมเมิร์ซ “ช้อปปี้ VS ลาซาด้า” ชิงตลาด 9.06 แสนล้าน

22 มี.ค. 2568 | 02:06 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มี.ค. 2568 | 02:44 น.

อีคอมเมิร์ซไทยโตต่อเนื่อง เฟื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 2 ยักษ์ ช้อปปี้ - ลาซาด้า สาดกลยุทธ์ ชิงตลาด 9.06 แสนล้านบาท

อีคอมเมิร์ซเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฉบับล่าสุด (e-Conomy SEA 2024 Report) ที่จัดทำโดย Google, Temasek และ Bain & Company คาดว่าจะโตขึ้น 19% และมีมูลค่าสินค้ารวม 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือประมาณ  9.06 แสนล้านบาท ในปี 67

วัดพลังตัวตึงอีคอมเมิร์ซ “ช้อปปี้ VS ลาซาด้า” ชิงตลาด 9.06 แสนล้าน

แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่มีส่วนสำคัญในการเติบโตนี้ โดยยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมและเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น วิดีโอคอมเมิร์ซ เพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบอินเทอร์แอคทีฟและคอนเทนต์วิดีโอที่น่าติดตามช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและกระตุ้นยอดขายออนไลน์ได้เป็นอย่างดี 

สำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในไทย เป็นการขับเคี่ยวระหว่าง ช้อปปี้  และลาซาด้า โดยช้อปปี้ยังครองความเป็นผู้นำตลาด ขณะนี้มีฐานผู้ใช้งานมากกว่า 50 ล้านคนต่อเดือนหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ช้อปปี้ ประสบความสำเร็จคือแนวคิด ‘Mobile First’ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานมือถือที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยออกแบบแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย ลื่นไหล และเข้าถึงได้สะดวก ซึ่งช่วยให้ช้อปปี้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ครองใจกลุ่ม Gen Z ซึ่งกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริโภคหลักที่มีอิทธิพลสูงต่อเศรษฐกิจ 

วัดพลังตัวตึงอีคอมเมิร์ซ “ช้อปปี้ VS ลาซาด้า” ชิงตลาด 9.06 แสนล้าน

ทั้งนี้ช้อปปี้ยังให้ความสำคัญกับ Content Commerce โดยเปิดตัวฟีเจอร์ Shopee Video และ Shopee Live เพื่อให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถสร้างคอนเทนต์รีวิว และทำการขายผ่านวิดีโอสั้นและไลฟ์สด ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

ช้อปปี้ ยังให้ความสำคัญกับ Search-driven Commerce โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคมาพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Shopee Affiliate Program ซึ่งช่วยเชื่อมโยงผู้ขาย ครีเอเตอร์ และนักช้อปเข้าด้วยกัน ผ่านการรีวิวสินค้าและการตลาดแบบแนะนำ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา Shopee Mall และ Shopee Premium เพื่อรองรับผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าของแท้จากแบรนด์ชั้นนำ พร้อมรับประกันสินค้าคุณภาพ

วัดพลังตัวตึงอีคอมเมิร์ซ “ช้อปปี้ VS ลาซาด้า” ชิงตลาด 9.06 แสนล้าน

ในด้านกลยุทธ์การตลาด ช้อปปี้ เป็น Trendsetter ของอีคอมเมิร์ซ ด้วยการสร้างแคมเปญออนไลน์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการช้อปปิ้งของผู้บริโภค เช่น 9.9, 11.11 และ 12.12 ซึ่งกลายเป็นแคมเปญที่สร้างยอดขายมหาศาลในแต่ละปี พร้อมขยายไปสู่แคมเปญเฉพาะกลุ่ม เช่น Mid-Month, Payday และ Super Brand Day ที่ตอบสนองพฤติกรรมการช้อปปิ้งที่หลากหลาย

นอกจากนี้ ช้อปปี้ ยังเดินหน้าสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายอีโคซิสเต็มของแพลตฟอร์ม โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับ YouTube เพื่อเปิดตัว YouTube Shopping ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้จากการรีวิวสินค้า และช่วยให้นักช้อปสามารถกดซื้อสินค้าได้ทันทีจากวิดีโอ โดยไม่ต้องสลับแอปพลิเคชัน

ด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การตลาดที่แข็งแกร่ง และความร่วมมือกับพันธมิตร ช้อปปี้ ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งในไทย และเดินหน้าสร้างระบบอีคอมเมิร์ซที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการให้เติบโตไปพร้อมกันในยุคดิจิทัล

ช้อปปี้” ยังมีรายได้เติบโตชึ้นต่อเนื่อง โดยจากการตรวจสอบข้อมูลจาก Creden Data นั้นพบว่า  ผลประกอบการของช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มีนาคม 2568)รายได้รวม ปี 2566 อยู่ที่ 29,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 21,709 ล้านบาท  มีกำไรสุทธิ ปี 2566 อยู่ที่ 2,166 ล้านบาท ลดลงจาก 2,380 ล้านบาทในปี 2565

วัดพลังตัวตึงอีคอมเมิร์ซ “ช้อปปี้ VS ลาซาด้า” ชิงตลาด 9.06 แสนล้าน

ส่วนคู่แข่งสำคัญ อย่างลาซาด้า วางกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซให้ก้าวสู่ยุคใหม่ด้วยการนำ AI และเทคโนโลยีล้ำสมัย มาใช้ยกระดับประสบการณ์ของทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ โดยเฉพาะการพัฒนา AI Lazzie ซึ่งเป็นแชทบอทอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีของ ChatGPT ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสินค้าได้สะดวกขึ้น พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำ เทคโนโลยี AR และ VR มาใช้เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าผ่านฟีเจอร์ Virtual Try-On เช่น การแต่งหน้าเสมือนจริงบน LazBeauty หรือการทดลองสินค้าผ่านฟังก์ชัน Image Search ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการเพียงแค่ใช้ภาพถ่าย โดยทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนจาก AI Algorithm อัจฉริยะที่ช่วยปรับแต่งผลการค้นหาให้ตรงกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้มุ่งเน้นกลยุทธ์ Demand-driven โดยให้ความสำคัญกับหมวดหมู่สินค้าที่เติบโตสูงอย่าง แฟชั่นและความงาม ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนการซื้อสูงถึง 47% บนแพลตฟอร์ม และกว่า 70% ของผู้ซื้อสินค้าความงามเลือกกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ลาซาด้าจึงพัฒนาหมวดหมู่สินค้าหลักให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น อาทิ LazMall ที่รวมแบรนด์ชั้นนำจากทั้งในและต่างประเทศ พร้อมการรับประกันสินค้าของแท้ 100%, LazBeauty ที่มาพร้อมโปรแกรมสมาชิกเพื่อสร้างความภักดีให้กับลูกค้า และ LazLOOK ที่เป็นศูนย์รวมสินค้าแฟชั่นจากแบรนด์ไทยและต่างชาติ นอกจากนี้ ยังขยายไปสู่ LazMart ซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ที่ให้ลูกค้าเลือกซื้อของอุปโภคบริโภคได้สะดวกขึ้น รวมถึง LazTravel ที่รวบรวมบริการจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และกิจกรรมท่องเที่ยวไว้ในที่เดียว

อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ลาซาด้ายังคงให้ความสำคัญคือ แคมเปญการตลาดและส่งเสริมการขาย โดยพัฒนา Mega Campaign ที่จัดขึ้นทุกไตรมาส เช่น 3.3, 6.6, 9.9, 11.11 และ 12.12 ซึ่งขยายระยะเวลาการจัดงานให้ยาวขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ขายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และเพิ่มช่วงเวลาการช้อปเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมี Mid Month และ Payday Campaign ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายประจำเดือน รวมถึง แคมเปญเฉพาะหมวดหมู่สินค้า อย่าง LazMart Monday, LazBeauty Tuesday และ LazLOOK Friday ที่ช่วยให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้ดีขึ้น ลาซาด้ายังเพิ่ม Gamification และ LazCoins เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์มากขึ้น ผ่านการสะสมเหรียญและการร่วมเล่นเกม ส่งผลให้ยอดขายบนแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นกว่า 200% และช่วยให้ลูกค้าประหยัดเงินรวมกว่า 170 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา

สำหรับผลประกอบการของลาซาด้า จำกัด (ข้อมูล ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2567)  รายได้รวม ปี 2567 อยู่ที่ 28,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 21,471 ล้านบาทในปี 2566 มีกำไรสุทธิ ปี 2567 อยู่ที่ 836 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 605 ล้านบาทในปี 2566