อีคอมเมิร์ซเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฉบับล่าสุด (e-Conomy SEA 2024 Report) ที่จัดทำโดย Google, Temasek และ Bain & Company คาดว่าจะโตขึ้น 19% และมีมูลค่าสินค้ารวม 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9.06 แสนล้านบาท ในปี 67
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่มีส่วนสำคัญในการเติบโตนี้ โดยยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมและเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น วิดีโอคอมเมิร์ซ เพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบอินเทอร์แอคทีฟและคอนเทนต์วิดีโอที่น่าติดตามช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและกระตุ้นยอดขายออนไลน์ได้เป็นอย่างดี
สำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในไทย เป็นการขับเคี่ยวระหว่าง ช้อปปี้ และลาซาด้า โดยช้อปปี้ยังครองความเป็นผู้นำตลาด ขณะนี้มีฐานผู้ใช้งานมากกว่า 50 ล้านคนต่อเดือนหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ช้อปปี้ ประสบความสำเร็จคือแนวคิด ‘Mobile First’ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานมือถือที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยออกแบบแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย ลื่นไหล และเข้าถึงได้สะดวก ซึ่งช่วยให้ช้อปปี้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ครองใจกลุ่ม Gen Z ซึ่งกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริโภคหลักที่มีอิทธิพลสูงต่อเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ช้อปปี้ยังให้ความสำคัญกับ Content Commerce โดยเปิดตัวฟีเจอร์ Shopee Video และ Shopee Live เพื่อให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถสร้างคอนเทนต์รีวิว และทำการขายผ่านวิดีโอสั้นและไลฟ์สด ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
ช้อปปี้ ยังให้ความสำคัญกับ Search-driven Commerce โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคมาพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Shopee Affiliate Program ซึ่งช่วยเชื่อมโยงผู้ขาย ครีเอเตอร์ และนักช้อปเข้าด้วยกัน ผ่านการรีวิวสินค้าและการตลาดแบบแนะนำ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา Shopee Mall และ Shopee Premium เพื่อรองรับผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าของแท้จากแบรนด์ชั้นนำ พร้อมรับประกันสินค้าคุณภาพ
ในด้านกลยุทธ์การตลาด ช้อปปี้ เป็น Trendsetter ของอีคอมเมิร์ซ ด้วยการสร้างแคมเปญออนไลน์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการช้อปปิ้งของผู้บริโภค เช่น 9.9, 11.11 และ 12.12 ซึ่งกลายเป็นแคมเปญที่สร้างยอดขายมหาศาลในแต่ละปี พร้อมขยายไปสู่แคมเปญเฉพาะกลุ่ม เช่น Mid-Month, Payday และ Super Brand Day ที่ตอบสนองพฤติกรรมการช้อปปิ้งที่หลากหลาย
นอกจากนี้ ช้อปปี้ ยังเดินหน้าสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายอีโคซิสเต็มของแพลตฟอร์ม โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับ YouTube เพื่อเปิดตัว YouTube Shopping ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้จากการรีวิวสินค้า และช่วยให้นักช้อปสามารถกดซื้อสินค้าได้ทันทีจากวิดีโอ โดยไม่ต้องสลับแอปพลิเคชัน
ด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การตลาดที่แข็งแกร่ง และความร่วมมือกับพันธมิตร ช้อปปี้ ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งในไทย และเดินหน้าสร้างระบบอีคอมเมิร์ซที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการให้เติบโตไปพร้อมกันในยุคดิจิทัล
“ช้อปปี้” ยังมีรายได้เติบโตชึ้นต่อเนื่อง โดยจากการตรวจสอบข้อมูลจาก Creden Data นั้นพบว่า ผลประกอบการของช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มีนาคม 2568)รายได้รวม ปี 2566 อยู่ที่ 29,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 21,709 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ ปี 2566 อยู่ที่ 2,166 ล้านบาท ลดลงจาก 2,380 ล้านบาทในปี 2565
ส่วนคู่แข่งสำคัญ อย่างลาซาด้า วางกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซให้ก้าวสู่ยุคใหม่ด้วยการนำ AI และเทคโนโลยีล้ำสมัย มาใช้ยกระดับประสบการณ์ของทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ โดยเฉพาะการพัฒนา AI Lazzie ซึ่งเป็นแชทบอทอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีของ ChatGPT ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาสินค้าได้สะดวกขึ้น พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำ เทคโนโลยี AR และ VR มาใช้เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าผ่านฟีเจอร์ Virtual Try-On เช่น การแต่งหน้าเสมือนจริงบน LazBeauty หรือการทดลองสินค้าผ่านฟังก์ชัน Image Search ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการเพียงแค่ใช้ภาพถ่าย โดยทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนจาก AI Algorithm อัจฉริยะที่ช่วยปรับแต่งผลการค้นหาให้ตรงกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคลมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้มุ่งเน้นกลยุทธ์ Demand-driven โดยให้ความสำคัญกับหมวดหมู่สินค้าที่เติบโตสูงอย่าง แฟชั่นและความงาม ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนการซื้อสูงถึง 47% บนแพลตฟอร์ม และกว่า 70% ของผู้ซื้อสินค้าความงามเลือกกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ลาซาด้าจึงพัฒนาหมวดหมู่สินค้าหลักให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น อาทิ LazMall ที่รวมแบรนด์ชั้นนำจากทั้งในและต่างประเทศ พร้อมการรับประกันสินค้าของแท้ 100%, LazBeauty ที่มาพร้อมโปรแกรมสมาชิกเพื่อสร้างความภักดีให้กับลูกค้า และ LazLOOK ที่เป็นศูนย์รวมสินค้าแฟชั่นจากแบรนด์ไทยและต่างชาติ นอกจากนี้ ยังขยายไปสู่ LazMart ซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ที่ให้ลูกค้าเลือกซื้อของอุปโภคบริโภคได้สะดวกขึ้น รวมถึง LazTravel ที่รวบรวมบริการจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน และกิจกรรมท่องเที่ยวไว้ในที่เดียว
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ลาซาด้ายังคงให้ความสำคัญคือ แคมเปญการตลาดและส่งเสริมการขาย โดยพัฒนา Mega Campaign ที่จัดขึ้นทุกไตรมาส เช่น 3.3, 6.6, 9.9, 11.11 และ 12.12 ซึ่งขยายระยะเวลาการจัดงานให้ยาวขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ขายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และเพิ่มช่วงเวลาการช้อปเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมี Mid Month และ Payday Campaign ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายประจำเดือน รวมถึง แคมเปญเฉพาะหมวดหมู่สินค้า อย่าง LazMart Monday, LazBeauty Tuesday และ LazLOOK Friday ที่ช่วยให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้ดีขึ้น ลาซาด้ายังเพิ่ม Gamification และ LazCoins เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์มากขึ้น ผ่านการสะสมเหรียญและการร่วมเล่นเกม ส่งผลให้ยอดขายบนแพลตฟอร์มเติบโตขึ้นกว่า 200% และช่วยให้ลูกค้าประหยัดเงินรวมกว่า 170 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
สำหรับผลประกอบการของลาซาด้า จำกัด (ข้อมูล ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2567) รายได้รวม ปี 2567 อยู่ที่ 28,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 21,471 ล้านบาทในปี 2566 มีกำไรสุทธิ ปี 2567 อยู่ที่ 836 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 605 ล้านบาทในปี 2566