ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ตั้งแต่การแนะนำภาพยนตร์ที่ตรงใจบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ไปจนถึงการช่วยเหลือในการวินิจฉัยทางการแพทย์ อย่างไรก็ตาม การยอมรับ AI ยังไม่เป็นเอกฉันท์ในสังคม เนื่องจากมีข้อกังวลและข้อพิพาทหลายประการที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียง
หนึ่งในข้อกังวลหลักคือการที่ AI อาจเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์ โดยเฉพาะงานที่มีลักษณะซ้ำซากและไม่ซับซ้อน รายงานจาก World Economic Forum (WEF) ระบุว่า 40% ของนายจ้างคาดว่าจะลดจำนวนพนักงานลงระหว่างปี 2025 ถึง 2030 ในพื้นที่ที่ AI สามารถทำงานแทนได้ อย่างไรก็ตาม รายงานจาก McKinsey & Company ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีงานประมาณ 92 ล้านตำแหน่งที่อาจถูกแทนที่ด้วย AI ภายในปี 2030 แต่ก็มีการคาดการณ์ว่างานใหม่ประมาณ 170 ล้านตำแหน่งจะถูกสร้างขึ้น ซึ่งต้องการทักษะใหม่ๆ
การใช้ AI ในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และความเป็นเจ้าของผลงาน ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้ตัดสินว่า งานศิลปะที่สร้างโดย AI ที่ไม่มีผู้สร้างเป็นมนุษย์ ไม่สามารถได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ นอกจากนี้ บริษัท Anthropic ยังชนะคดีความกับผู้จัดพิมพ์เพลงที่กล่าวหาว่าใช้เนื้อหาลิขสิทธิ์ในการฝึกระบบ AI
การพัฒนาและใช้งาน AI ต้องการพลังงานจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บทความจาก MIT News ระบุว่าการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องการไฟฟ้าจำนวนมาก และยังมีการใช้น้ำเพื่อระบายความร้อนในศูนย์ข้อมูล นอกจากนี้ รายงานจาก Planet Detroit ชี้ให้เห็นว่าการใช้ AI อาจเพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการใช้น้ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดต่อโครงข่ายไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว
AI มักเกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล บทความจาก VeraSafe ระบุว่าระบบ AI อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การติดตามตำแหน่ง การเฝ้าระวังพฤติกรรม และการประมวลผลข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
เทคโนโลยี Deepfake ที่ใช้ AI สามารถสร้างเนื้อหาที่ดูสมจริงแต่เป็นเท็จ ซึ่งอาจถูกใช้ในการบิดเบือนข้อมูล บทความจาก World Economic Forum ระบุว่า แม้ Deepfakes จะยังไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ควรมองข้ามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้ การศึกษาจาก CSIRO พบว่า เครื่องมือตรวจจับ Deepfake ยังมีประสิทธิภาพจำกัดในการระบุเนื้อหาปลอม
การพัฒนา AI อย่างรวดเร็วทำให้เกิดความจำเป็นในการกำกับดูแลและกำหนดจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง บทความจาก Forbes คาดการณ์ว่า ในปี 2025 การกำกับดูแล AI จะเน้นไปที่การปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกิดขึ้นใหม่ นอกจากนี้ UNESCO ได้ออกคำแนะนำเกี่ยวกับจริยธรรมของ AI เพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนา AI จะเคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของมนุษย์
มีการถกเถียงอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจก่อให้เกิดต่อมนุษยชาติ ผู้เชี่ยวชาญบางคนแสดงความกังวลว่า AI ที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ของมนุษย์ Geoffrey Hinton ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่ง AI" ได้กล่าวว่ามีโอกาส 10% ถึง 20% ที่ AI อาจทำให้มนุษยชาติสูญพันธุ์ภายในสามทศวรรษข้างหน้า นอกจากนี้ การสำรวจในปี 2023 พบว่า 42% ของซีอีโอที่เข้าร่วมการประชุม Yale CEO Summit เชื่อว่า AI มีศักยภาพที่จะทำลายมนุษยชาติภายในห้าถึงสิบปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญบางส่วนที่มองว่าความกังวลเหล่านี้เกินจริง การศึกษาใหม่จากมหาวิทยาลัยบาธระบุว่า โมเดลภาษาขนาดใหญ่ เช่น ChatGPT ไม่สามารถเรียนรู้หรือพัฒนาทักษะใหม่ได้ด้วยตนเอง ซึ่งหมายความว่าพวกมันไม่เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ
นอกจากนี้ บทความจาก Scientific American ชี้ให้เห็นว่าภัยคุกคามที่แท้จริงจาก AI อาจไม่ใช่การทำลายล้างมนุษยชาติ แต่เป็นปัญหาทางปรัชญาและสังคม เช่น การเลือกปฏิบัติ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ และการละเมิดความเป็นส่วนตัว
ดังนั้น แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ AI อาจก่อให้เกิดต่อมนุษยชาติ แต่ก็ยังมีความคิดเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับระดับของความเสี่ยงและวิธีการจัดการกับมัน แม้ว่า AI จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคมในหลายด้าน แต่ยังมีข้อกังวลและข้อพิพาทที่ต้องได้รับการพิจารณาและแก้ไขอย่างรอบคอบ การสร้างสมดุลระหว่างการนำเทคโนโลยีมาใช้และการปกป้องสิทธิ์และความเป็นอยู่ของมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญในการก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน