ท่ามกลางความฝุ่นตลบของการจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ แม้พรรคก้าวไกลจะยอมถอยให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าสัญญาณของการฉีก MOU 8 พรรค จะเริ่มชัดเจนขึ้น
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2566 พรรคเพื่อไทยได้หารือถึงแนวทางการร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองนอกMOU ถึง 3 พรรคในวันเดียวกัน ทั้งพรรคภูมิใจไทย ,พรรคชาติพัฒนากล้า และพรรครวมไทยสร้างชาติ
ซึ่งทั้ง 3 พรรคนี้ต่างก็ประกาศชัดเจนว่าไม่ร่วมงานกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งนั่นก็หมายถึงพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกับที่พรรคก้าวไกลเองก็เคยประกาศชัดเจนว่า มีลุงไม่มีเรา และไล่หนูตีงูเห่า
โดยในวันเดียวกันนั้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ได้ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรีพร้อมประกาศอย่างชัดเจนว่า ตนเองไม่ยอมให้ใครถีบตกจากเรือ และทำให้การเลือกตั้งไม่มีความหมาย
"พี่น้อง ใครจะถีบผมออกจากเรือผมไม่รู้ รู้แต่อย่างเดียวว่าผมไม่ยอม ถ้าเรือมันรั่วก็ต้องช่วยกันอุด ช่วยกันซ่อม ไม่ใช่จะถีบเพื่อนออกจากเรือ และไม่ถีบประชาชนออกจากเรือด้วย 25 ล้านเสียง สู้ 250 เสียงไม่ได้ให้มันรู้ไป "
การจัดตั้งรัฐบาลที่รอความลงตัว ในขณะที่สัญญาณของความขัดแย้งเริ่มปะทุมากขึ้น ฐานเศรษฐกิจ ได้สัมภาษณ์พิเศษ นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย อดีตแนวร่วมกปปส. ที่ในวันนี้ประกาศชัดเจนว่า "มันจบไปแล้ว" และต้องการให้ประเทศเดินหน้าโดยยุติการแบ่งขั้วและสร้างความขัดแย้งเกลียดชัง
นายแก้วสรรได้ระบุถึงต้นตอของสถานการณ์หลังการเลือกตั้งในขณะนี้ว่า เกิดมาจากการหาเสียง ที่อยู่บนพื้นฐานของความเกลียดชัง ประชาชนเลือกพรรคหนึ่งเพราะเกลียดอีกพรรคหนึ่ง หาเสียงเลือกตั้งแบบแบ่งข้าง หลังเลือกตั้ง จึงคุยกันไม่ได้ ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยง่าย พร้อมฝากถึงพรรคก้าวไกลว่าไม่ควรหาอำนาจจากความเกลียดชัง
นายแก้วสรรมีมุมมองต่อพรรคก้าวไกลว่า ยังคงเป็นความหวังของประชาชนในประเทศได้ เปรียบเหมือนเรือที่มีแรงลมคอยหนุนส่งอยู่แล้ว แต่ด้วยหันผิดทิศจึงทำให้ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมเสนอแนะให้พรรคก้าวไกลประกาศแขวนมาตรา 112 เปรียบเช่นการหันหัวเรือให้ถูกทิศทาง ซึ่งในวันนั้นตนเองก็พร้อมสนับสนุนช่วยเหลือหากพรรคก้าวไกลต้องการ
เมื่อถามถึงความฝันต่อสถานการณ์ของประเทศที่อยากให้เกิดขึ้นหลังจากนี้ นายแก้วสรรตอบว่า
ต้องการเห็นพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกโทรทัศน์คู่กันขอบคุณประชาชนและประกาศวางมือทางการเมือง ฝากประเทศชาติให้เพื่อนสมาชิกสส.ได้นำพาต่อไป
พร้อมประกาศด้วยว่าสมาชิกวุฒิสภาส.ว. ไม่สามารถถูกแทรกแซงได้ และอยากเห็นพรรคก้าวไกลประกาศแขวนมาตรา 112 จากนั้นอยากให้บรรดาพรรคการเมืองสลายขั้วเจรจาหารือกันเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลและพาประเทศเดินหน้าต่อไปได้
นายแก้วสรรระบุว่า สส.ต้องกล้าตัดสินใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไม่สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในสังคม โดยมีหน้าที่ต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจในเหตุและผล รวมถึงการตัดสินใจที่เกิดขึ้น
MOU จัดตั้งรัฐบาลเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องมีการผูกมัดกันขนาดนั้น แต่เพราะบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลอีก 7พรรค ไม่สบายใจเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 จึงทำให้เกิดMOU ขึ้น ฉะนั้นการฉีกMOU เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลสามารถเกิดขึ้นได้จึงเป็นสิ่งจำเป็น และควรต้องเกิดขึ้น
ในตอนท้ายนายแก้วสรรได้เปิดเผยถึงทัศนคติส่วนตัว ที่ทำให้วันนี้ปรารถนาเห็นประเทศยุติการแบ่งขั้วแบ่งฝ่าย แม้ในอดีตตนเองจะเคยเป็นผู้ร่างสำนวนยึดทรัพย์นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และตนเองเป็นแนวร่วมขึ้นเวทีกปปส.มาก่อน
โดยนายแก้วสรรระบุว่า ส่วนตัวไม่ได้มีความโกรธเกลียดอะไรพรรคเพื่อไทย แต่เป็นการทำหน้าที่ ซึ่งมันจบไปแล้ว มาในวันนี้อยากให้ประเทศไทยยุตติความขัดแย้งเนื่องจากเสียดายความน่ารักและน่าอยู่ของประเทศไทย