“สุวัจน์”ชูนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจบนจุดแข็ง ท่องเที่ยว อาหาร เกษตร

28 มี.ค. 2566 | 06:12 น.
อัปเดตล่าสุด :28 มี.ค. 2566 | 06:27 น.

“สุวัจน์”ชูนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจบนจุดแข็ง ท่องเที่ยว อาหาร เกษตร เน้นเศรษฐกิจเฉดสี เพิ่มรายได้ 5 ล้านล้านบาท ไทยเที่ยวไทย ไทยลงทุนในไทย

วันที่ 28 มีนาคม 2566 เวลา 10.30 น.ห้องประชุม Convention Hall A22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวในงานเสวนา “วิสัยทัศน์การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทย” โดยการดีเบต 9 พรรคการเมือง จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ว่า อยากจะนําเสนอนโยบายเศรษฐกิจและการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม 

เมื่อพูดถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทําไมต้องใช้คําว่าฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะเราเจอโควิด เจอสงครามการค้า และสงครามจริงๆ สามเรื่องเป็นปัจจัยที่ทําให้เศรษฐกิจมีปัญหา คือ ปี 2019 เศรษฐกิจโตประมาณ 3.5-4 พอเกิดโควิด ปี 2020 เราติดลบ 6 แล้วปี 2021 กลับมา 1.6 ต่อมาปี 2022 กลับมา 2.6 ทั้ง 3 ปีนี้ขาดทุนหมด ฉะนั้น ปีนี้ 2023 อาจจะได้ 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเราต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจ แล้วดึงกลับไปอย่างน้อยต้อง 4.5 เปอร์เซ็นต์ 

และวิธีการที่จะฟื้นฟูกันอย่างไร ทุกท่านเป็นนักลงทุน ถามว่าวันนี้สงครามการค้า มีสงครามเศรษฐกิจ มีน้ำมันแพง มีเงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย ดอกเบี้ยขาขึ้น โลกร้อน และยังมีการใช้เศรษฐกิจใหม่ BCG,  ESG ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันเป็นปัจจัยที่นักลงทุนจะต้องคิดหนัก คิดนาน ในเรื่องการลงทุน

                            “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”เปิดนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ

“ผมต้องการจะบอกว่า วันนี้ถ้าเกิดจะฟื้นฟูเศรษฐกิจและหวังกับการลงทุน ผมเชื่อว่านักลงทุนทั่วโลกทุกคนตัดสินใจได้ชะลอ คิดหนัก เพราะเม็ดเงินเยอะ และยังขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือ เสถียรภาพต่าง ๆ ฉะนั้นวันนี้วิธีการที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ดีที่สุด คือ เอาจุดแข็งของเรา 

จุดแข็งของประเทศไทยคือ การท่องเที่ยว ก่อนเกิดโควิดมีนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน เพราะมีปัญหาเรื่องการท่องเที่ยวเศรษฐกิจแย่ แต่พอเราเปิดประเทศภายในครึ่งปี วันนี้นักท่องเที่ยวกลับมาประมาณ 25 ล้านคน  เศรษฐกิจเริ่มกลับมา Rebound การกระตุ้นเศรษฐกิจ 

ถ้าท่านไปตามเมืองท่องเที่ยวไปอะไรต่างๆ จะเห็นว่าทุกอย่างดีขึ้น และการท่องเที่ยวเป็นจุดแข็งของประเทศ การท่องเที่ยวไม่ต้องการความเชื่อมั่นมากนัก เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อ BCG ESG น้อยมาก แต่การท่องเที่ยวเกี่ยวข้องโดยตรงกับการขอให้อาหารอร่อย ปลอดภัย ต้อนรับดี”

                        “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”เปิดนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ

นายสุวัจน์ กล่าวว่า วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ฟื้นฟูดีที่สุด เร็วที่สุดก็คือ การท่องเที่ยว เป็นจุดแข็งของประเทศ พอพูดถึงเมืองไทย เมืองท่องเที่ยวของโลก แล้วรายได้จากการท่องเที่ยว แก้ไขปัญหาทุกอย่าง ลดความเหลื่อมล้ําเสมอภาค ไปทุกอาชีพ ไปทุกหมู่บ้าน ไปทุกตําบล กระจายตัวได้เร็วที่สุด ฉะนั้น พรรคชาติพัฒนากล้า เสนอการท่องเที่ยวจะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้เร็วที่สุด

“พรรคชาติพัฒนากล้านําเสนอนโยบายว่าเพิ่มนักท่องเที่ยวเป็นสองเท่า วันนี้นักท่องเที่ยว 40 ล้านคน ถ้าโต แค่ 20 % เท่านั้น 4 ปีจะประมาณ 70-80 ล้านคน คนไทยหนึ่งคนรับนักท่องเที่ยวหนึ่งคน แล้วนักท่องเที่ยวเคยอยู่ 10 วันปกติก็เป็น 12 วัน เคยใช้จ่ายวันละ 5,000 บาท สัก 20% ก็เป็น 6,000 บาท ฉะนั้น 70 ล้าน คูณ 12 วัน คูณ 6,000 จะได้ 5 ล้านล้านบาท เพิ่มจาก 2 ล้านล้านบาท เพียงสร้างโค้ชและทําเป็นการท่องเที่ยวกันอย่างจริงจัง”

ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวย้ำว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องทําให้การท่องเที่ยว การพัฒนาเรื่อง infrastructures การพัฒนาเรื่อง destination การพัฒนาเรื่องโปรดักส์  เรื่อง Street Food หยิบมาใช้  SoftPower หยิบมาใช้ การอํานวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด

 รองลงมาจากการท่องเที่ยวก็คือ การส่งออกต้องหาตลาดใหม่ Middle East  ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา อันนี้เป็นลำดับที่สอง และลำดับที่สามของการฟื้นฟูเศรษฐกิจก็คือ การลงทุนในประเทศไทย การดําเนินของภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน ไทยเที่ยวไทยไทยลงทุนในไทย อันนี้จะช่วยได้เยอะ สมมุติตอนนี้เรามี EEC อยู่ ถ้าไปเร่งรถไฟรีบสร้าง สนามบินรีบสร้าง อันนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

และลำดับสุดท้าย คือ เอาวิกฤติเป็นโอกาส ปรับฐานเศรษฐกิจของประเทศจะต้องเดินมาบนเศรษฐกิจที่เป็นจุดเข้มแข็งของประเทศไทย คือ การเป็นมหาอํานาจทางการเกษตร ข้าว อ้อย มัน ปาล์ม ข้าวโพด ไม่มีใครยิ่งใหญ่ทั่วประเทศไทย แต่วันนี้เรายังไม่ได้หยิบมาใช้ ยังไม่ได้ใส่เทคโนโลยี ยังไม่ได้ใส่อุตสาหกรรม ยังไม่ได้ใส่นวัตกรรมไปอย่างเต็มที่ ฉะนั้นนี่คือ จุดแข็งของประเทศไทย 

                   “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”เปิดนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ฉะนั้น ถ้าไล่ตามลำดับ ไล่ตามสเต็ป เศรษฐกิจของเราจะกลับมาเร็วแล้วต่อไปเราจะยั่งยืน ไม่มีใครแข่งกับเราได้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม ที่เราเผชิญหน้ากันถึงขนาดนี้ เราจะขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมอย่างไร จะเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันอย่างไร 

“ผมจำได้ว่าสมัยท่านพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านมาจากรัฐมนตรีอุตสาหกรรม GDP ของเราโต 10 เปอร์เซ็นต์ 3 ปีซ้อน แล้วหลังจากท่านชาติชาย ขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันของประเทศโดยเฉพาะทางอุตสาหกรรมตกไปตลอด วันนี้อยู่อันดับ 35 ของ OECD สําคัญที่สุดก็คือ เทคโนโลยี เราเป็นประเทศที่ส่งออกเทคโนโลยีระดับต่ํา แต่นําเข้าเทคโนโลยีระดับสูง เรียกว่า เสียดุล ใช้โนโลยีในภาคอุตสาหกรรมน้อยมาก”

ฉะนั้น จะต้องดําเนินการกันอย่างจริงจัง ในการที่จะ Reskill  จะแรงงาน ในเรื่องของ renovate ภาคอุตสาหกรรม ในการที่จะนําเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ แล้ววันนี้เรื่อง BCG ก็คือ เศรษฐกิจหมุนเวียนเศรษฐกิจ ชีวภาพเศรษฐกิจ สีเขียว และ ESG เป็นเรื่องใหม่ของภาคอุตสาหกรรม ถ้าไม่รีบทําความรู้ ไม่รีบทําความเข้าใจ ต่อไป เราจะหนักกว่านี้

วันนี้ต้องเชิญภาควิชาการทั้งหมดมาสร้างอุตสาหกรรมที่อยู่บนจุดแข็ง แล้วเป็นอุตสาหกรรมใหม่ คือ BCG ESG มันจะเป็นฐานใหม่ ที่จะทําให้เราอยู่ได้ด้วยความยั่งยืน และจะเสริมสร้างจุดแข็งของประเทศ 

“พรรคชาติพัฒนากล้า จึงนําเสนอนโยบายเศรษฐกิจใหม่ นโยบายเศรษฐกิจเฉดสี มูลค่า 5 ล้านล้านบาท คือ แบ่งเศรษฐกิจเป็นสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง หยิบ soft power สีเขียว หยิบสิ่งแวดล้อม สีขาว หยิบเรื่องท่องเที่ยวสายมู

สีเงิน หยิบเศรษฐกิจสุขภาพ เศรษฐกิจผู้สูงอายุ ระบบทั้งหมดคือ สิ่งที่พรรคชาติพัฒนากล้าได้คิดอย่างเป็นระบบ แล้วทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานนโยบายใหญ่ที่เราเรียกว่า “งานดี มีเงิน ของไม่แพง” ขอให้ทุกนักอุตสาหกรรม นักลงทุน ได้เชื่อมั่นในนโยบายพรรคชาติพัฒนากล้า” นายสุวัจน์ กล่าว