แกนนำพรรคก้าวไกล และผู้สมัครส.ส.กรุงเทพมหานคร เยือนเวที "Road to the future เลือกตั้ง 66 อนาคตประเทศไทย" จัดโดย "เครือเนชั่น"
ในช่วงหนึ่งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงเป้าหมายพรรคในการเลือกตั้ง 66 ว่า พรรคก้าวไกลตั้งใจจะเปลี่ยนอนาคตประเทศไทย 3 เรื่อง คือ เรื่องแรก เรื่องการเมือง เราต้องการเอาทหารออกจากการเมืองให้ได้
เรื่องที่สอง ให้มีรัฐธรรมนูญใหม่ เรื่องปากท้องต้องการทลายทุนผูกขาด และสนับสนุนเอสเอ็มอี และสาม อยากให้มีอนาคต คือการกระจายอำนาจให้ทั่วประเทศสามารถเลือกตั้งได้
ถ้าก้าวไกลสองใบประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต เชื่อว่าประเทศไทยไปต่อได้ เป็นทางรอดของประเทศไทย ไม่ใช่ทางเลือก
ส่วนทางรอดของประเทศไทยจะเป็นอย่างไรนั้น หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ถ้าต้องถามประชาชนว่าทางรอดทางประเทศคืออะไร ถ้าเป็นการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แต่อยู่ในระบบเดิมๆ หรือตั้งคำถามว่าประเทศไทยจะรอดได้ ต้องสังคายนาโครงสร้างที่ต้นตอเพื่อให้ประเทศไทยไปต่อ ให้กระจาย ไม่ให้กระจุก
พร้อมกล่าวถึงผลสำรวจความเห็นของโพลหลายสำนัก ระบุว่ามีพรรคก้าวไกลติดโผในลำดับต้นๆ ทั้งในพื้นที่ กทม.และพื้นที่อื่น ว่า ผลโพลที่ออกมาถือว่าเป็นกำลังใจในการทำงาน ในการลงพื้นที่ ซึ่งโพลมีความสำคัญในการทำยุทธศาสตร์เลือกตั้ง แต่กำลังใจที่ได้จากประชาชนเวลาลงพื้นที่ทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น ยิ่งเมื่อลงพื้นที่พบพี่น้องประชาชน ได้เจอพ่อแก่ แม่เฒ่า ยิ่งมั่นใจว่าก้าวไกลมาถูกทาง
ที่ว่าเราเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ ที่มีนโยบายสำหรับคนรุ่นใหญ่ เพราะก้าวไกลมีนโยบายที่ตอบโจทย์ ทั้งคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าเรื่องการเกณฑ์ทหาร การสมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า ถ้าเป็นคนรุ่นใหญ่ เราจะพูดเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุ หนี้ ธกส. การปฎิรูปที่ดิน เมื่อเราลงพื้นที่จะได้รับการตอบรับมากขึ้น
สรุปสั้นๆตอนนี้ในใจผมในฐานะแคนดิเดตพรรคก้าวไกล เข้าฝักมากที่สุด ตั้งแต่มีพรรคนี้มา ก้าวไกลคือพรรคของทุกคนทุกรุ่น
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงโค้งสุดท้ายหาเสียงก่อนถึงวันเลือกตั้งว่า ต้องทำงานให้หนักขึ้น จุดยืนทางการเมืองต้องชัดเจนมากขึ้น จุดยืนทางการเมืองคือ สร้างความต่างของพรรค เมื่อเราปักธงในกลุ่มแฟนคลับที่เชื่อพรรคก้าวไกลได้ ช่วงเวลาที่เหลือจะไปเอาคนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ตัดสินใจจะเอาไหน ถ้าเราเอา "สวิงโหวต"มาที่พรรคก้าวไกลได้ เรามีสิทธิชนะเลือกตั้ง
โดยสามสิ่งที่ก้าวไกลต้องทำคือ ผู้สมัครในแต่ละเขต นโยบายที่ตอบโจทย์แต่ละพื้นที่แต่ละภาคแต่ละวัย และการทำงานของส่วนกลางในการบริหารจัดการ
นายพิธา กล่าวว่า มองข้ามช็อตไปหลังเลือกตั้ง ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เราสามารถจับมือได้ทุกพรรค ยกเว้นพรรคที่จับมือกับ"ทหารจำแลงสองพรรคคือ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ" จะไม่มีชื่อพรรคก้าวไกลอยู่ในนั้น ในกรณีที่พรรคก้าวไกลคะแนนมาอันดับหนึ่ง พรรคร่วมฝ่ายค้านที่มีอยู่ในขณะนี้ถ้าดูตามโพล พรรคร่วมฝ่ายค้านสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เลย ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลอยากมาร่วมด้วยก็ต้องมาคุยกัน แต่ถ้าน้ำหนักทางการเมืองพอก็จบที่พรรคร่วมฝ่ายค้านก็น่าจะเหมาะสมมากกว่า
ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวเสริมว่า สมการทางการเมือง คือ หนึ่งไม่มีทางเกิดรัฐบาลพรรคเดียว ฟันธงต้องเป็นรัฐบาลผสม สองขั้วรัฐบาลปัจจุบันรวมกันไม่ถึง 200 เสียง และสาม ส.ว.ไม่มีทางมีอิทธิฤทธิ์เหมือนเดิม เพราะการจัดตั้งรัฐบาลมันจบก่อน ส.ว.โหวตอยู่แล้ว เมื่อสมการการเมืองเป็นแบบนี้ ชัยชนะของพรรคก้าวไกล จะชัดเจนเรื่องโฉมหน้ารัฐบาลชุดหน้า
พรรคก้าวไกลมีศักยภาพที่จะชนะได้ทุกเขตใน 33 เขตเลือกตั้งในกทม . ตอนนี้กระแสไม่ใช่เฉพาะในกทม.แต่กระแสตอบรับพรรคก้าวไกลในต่างจังหวัดชัดเจนมาก จากการวิเคราะห์ และการประเมินจากหลายมิติชัดเจนว่าเรากำลังขึ้นสู่กระแสสูงในช่วงโค้งสุดท้ายจริงๆ
ในพื้นที่กทม. ผมฟันธงเลยว่า แข่งกันสองพรรคคือ ก้าวไกล และเพื่อไทย และแข่งกันว่าใครจะได้เกินครึ่ง ที่ก้าวไกลเหนือกว่าเพื่อไทยคือ ก้าวโดดเด่นของพรรคก้าวไกล เส้นแบ่งของก้าวไกลกับพรรคอื่นไม่ใช่เรื่องวัย เส้นแบ่งที่ชัดเจนคือ เส้นแบ่งระหว่างความเชื่อ มั่นในการทำงานแบบเดิมๆทั้งหมด กับความต้องการว่า ถ้าเราอยากแก้ไขปัญหาของประเทศ ที่ต้นตอจริงๆอยากให้ประเทศไปข้างหน้ามีอนาคต พร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่
เราต้องการทำงานการเมืองแบบใหม่ ทักษะการเข้าใจโลกแบบใหม่ๆและเข้าใจแบบเก่า เผชิญสิ่งใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ การเลือกตั้งรอบนี้ เราพร้อมทั้งในแง่บุคลากร ในแง่นโยบาย และการพิสูจน์ตัวเอง
4 ปีที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลทำงานโดดเด่น แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นอย่างไร ขนาดเราเป็นฝ่ายค้านยังขนาดนี้ ถ้าเป็นฝ่ายค้านจะขนาดไหน อย่าเสียดายที่จะไม่มีพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านอีกหลังการเลือกตั้งข้างหน้า แต่จะเสียดายมากกว่าถ้าไม่เห็นก้าวไกลเป็นรัฐบาล
“เลือกก้าวไกล จะได้ 3 เด้งคือ หนึ่ง ประยุทธ์ ออกไป สอง ประวิตร ไปด้วย และสาม ได้คนใหม่เข้าไปเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆให้ประเทศ” นายชัยธวัช กล่าวทิ้งท้าย