น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุว่า นโยบายแจกเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป ของพรรคเพื่อไทย ไม่ผิดกฎหมายสัญญาว่าจะให้ คิดว่าจะเป็นการสร้างคะแนนนิยมให้กับพรรค พท. มากขึ้นหรือไม่
เพราะถือว่าได้ไฟเขียวที่จะนำไปใช้นโยบายในการหาเสียง ว่า ความเห็นของ กกต. ถือว่าตรงไปตรงมา เพราะการทำนโยบายต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะเป็นไฟเขียวให้นโยบายนี้ เพื่อเป็นการสร้างคะแนนนิยมให้พรรค พท. ไม่ใช่ไฟเขียวจาก กกต. แต่เป็นไฟเขียวจากประชาชนมากกว่า
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ตอนนี้คิดว่าพรรคเพื่อไทย กำลังพยายามสื่อสารและชี้แจงในสิ่งที่ประชาชนตั้งคำถามอยู่ ทั้งที่มาของงบประมาณ สามารถนำไปใช้หนี้ได้จริงหรือไม่ และกำหนดรัศมี 4 กิโลเมตร ตามทะเบียนบ้านจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีความคาดหวังว่าการใช้งบประมาณมากขนาดนี้ จะสามารถทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างไร จึงต้องรอคำอธิบายจากพรรคเพื่อไทย
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า เทคโนโลยีที่นำมาใช้เหมาะสมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ เหมือนกับตอนที่นำนโยบายคนละครึ่งมาเยียวยาประชาชน เพราะบางเครื่องมือของนโยบายเหมาะสมกับการใช้ในบางเรื่อง ยกตัวอย่างอยากจะกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ดิจิทัลวอลเล็ต โดยการให้เงินก้นถุง ก็สามารถทำได้ แต่ไม่ต้องถึง 10,000 บาท ถ้าอยากกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องใช้เครื่องมือที่ประชาชนคุ้นเคย อีกอย่างคือ พรรคเพื่อไทย ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อเงินเฟ้อหรือไม่ และมีแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาอย่างไร
เมื่อถามถึงกรณีมองว่าเป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้ว น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เราไม่รู้ว่าประชานิยมสุดขั้วคืออะไร แต่เราจะเน้นว่าการออกนโยบายต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน จึงต้องคุยกันอย่างตรงไปตรงมาว่า งบประมาณมาจากไหน และทำวิธีการนี้แล้วจะได้อะไร นี่คือสิ่งที่เรายังรอรายละเอียดกัน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าประชาชนสามารถตัดสินใจได้ว่านโยบายนี้จะเกิดประโยชน์กับเขาจริงหรือไม่
ถามว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรค ก้าวไกล หากพรรคก้าวไกล ยังเห็นว่านโยบายนี้ไม่ตอบโจทย์แก้ปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจ จะทำอย่างไร
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า คงต้องพูดคุยกันระหว่างพรรคร่วม เพราะการทำนโยบายหนึ่งจะไปกันที่การทำนโยบายอื่นๆ แต่เราไม่ได้กังวลการทำนโยบายใหญ่ของพรรคก้าวไกล ที่ต้องใช้งบมาก เพราะเราจะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บภาษี และการเก็บภาษีใหม่ๆ อยู่แล้ว
เมื่อเราได้ฟังพรรคเพื่อไทย พูดว่า จะใช้เม็ดเงินกระตุ้น 5.4 แสนล้านบาท เรายังคิดว่าพรรคเพื่อไทย จะคิดตรงกันว่าจำเป็นต้องปฏิรูประบบภาษีของประเทศนี้ด้วย แต่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ได้แตะเรื่องนี้ กลับหันไปใช้งบประมาณที่มีอยู่แล้ว ซึ่งค่อนข้างที่จะมีข้อจำกัดอยู่ค่อนข้างมาก เพราะปี 2567 มีภาระเงินต้น และการชำระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมาอีก 3 หมื่นล้านบาท เป็น 3.3 แสนล้านบาท
และดูเหมือนว่า พรรคเพื่อไทย จะนำงบประมาณที่เพิ่มขึ้นมาทั้งหมดมาโปะโครงการนี้ จึงมีข้อกังวลว่าอาจจะทำให้เราไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่ ทำให้ต้องมาพูดคุยกันว่าจะปรับปรุงงบประมาณไม่ให้กระทบกับหนี้ที่ต้องชำระคืนตามกฎหมาย