นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ไปร่วม รายการ “ดีเบต เปลี่ยนประเทศไทย” เพื่อย้ำจุดแข็งของพรรค ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ วานนี้ (26 เม.ย.) จัดโดยสถานีข่าว 24 ชั่วโมง TNN ช่อง 26 ซึ่งได้แสดงถึงวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลว่า ขณะที่ขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยตอนนี้จะอยู่ที่ลำดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย
โดยจากตัวเลขล่าสุดพบว่าเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัลเราสามารถทำเงินได้ 2.1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 13% ของ GDP ดังนั้นหากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ประเทศไทยต้องมีเป้าหมายเรื่องนี้เพื่อไปให้ถึง 20-25% ให้ได้ภายใน 3-4 ปี โดยจะต้องทำให้เป็นระบบครบวงจร ทั้งภาคการผลิต การตลาด R&D ไปจนถึงการพัฒนาคน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจดิจิทัล
ทั้งการให้บริการทางด้านการเงินแบบดิจิทัล Fin Tech ด้านเทคโนโลยีด้านสุขภาพ Health Tech และด้านเทคโนโลยีด้านการศึกษา Ed Tech รวมไปถึงระบบโลจิสติกส์ที่ต้องทันสมัยด้วย
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนได้ไปลงนามกับ DP World ของประเทศ UAE ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโลจิสติกส์ มีท่าเรือถึง 450 ท่าทั่วโลก เพื่อเป็นการเตรียมให้ประเทศไทยเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซ และขับเคลื่อนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งตนก็เป็นผู้เดินทางไปเซ็นสัญญาด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ Alibaba Big Basket รวมไปถึงแพลตฟอร์มทั้งของอินเดีย อเมริกา สิงคโปร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ทางด้านการวิจัยและพัฒนา ก็ต้องเพิ่มจาก 1% เป็น 2-3% ไปจนถึงการพัฒนาคน ตั้งแต่การ up-skill re-skill ที่ต้องเดินร่วมกับทั้งระบบการศึกษาด้วย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ต้องมองไปให้ครบทั้งวงจร จะมองแยกส่วนส่วนในส่วนหนึ่งไม่พอ
ส่วนประเด็นเรื่องปัญหาค่าไฟแพงที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้ นายจุรินทร์ ตอบว่า ปัญหาดังกล่าวมีแนวทาง 3 ประเด็น 1. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (25 เม.ย.) ครม. ก็ได้พิจารณาช่วยเรื่องค่าไฟประชาชน แต่ต้องเสนอให้ กกต. พิจารณาเห็นชอบด้วย ซึ่งหาก กกต. อนุมัติ ก็จะมีส่วนช่วยลดค่าไฟพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศทันที โดยไม่ต้องรอให้มีรัฐบาลหน้า
2. หากเป็นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เราจะต้องลดต้นทุนการผลิตแก๊ส เพราะราคาแก๊สเป็นต้นทุนผลิตไฟฟ้า ดังนั้นจึงต้องเอาเรื่องแก๊สนำเข้าที่มีราคาแพง กับแก๊สในประเทศที่มีราคาถูกกว่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ซึ่งจะทำให้ค่าไฟมีราคาต่ำลงได้
3. ทบทวนค่า FT ถ้าไม่มีการคิดค่า FT ได้ก็จะเป็นเรื่องดี แต่หากยังจำเป็นต้องมีค่า FT ก็ต้องไม่คิดจากการคาดการณ์การใช้ไฟฟ้าล่วงหน้าถึง 4 เดือน สิ่งนี้ทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพงไปก่อน แต่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
นอกจากนั้นในเรื่องสัญญาทาสที่พูดกันว่ามีการทำไว้ตั้งแต่รัฐบาลก่อน ๆ นั้น ในที่ประชุม ครม. ตนก็เป็นผู้ตั้งประเด็นถามว่าสัญญาดังกล่าวมีเงื่อนไขใดที่สามารถแก้ไขได้หรือไม่ หากสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ก็สมควรทำ สำหรับอีกประเด็นที่เกี่ยวกับพลังงานที่จะต้องทบทวนคือเรื่อง พลังงานสะอาด เพราะนอกจากเรื่องการสร้างมลพิษแล้ว ถ้าไทยยังใช้พลังงานฟอสซิลเหมือนที่ผ่านมาจะส่งผลต่อการค้าขายต่างประเทศ และเป็นปัญหาเรื่องคาร์บอนเครดิต ดังนั้นประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวไปใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น
ส่วนคำถามที่ถามว่าหากประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาลจะมีนโยบายใดที่จะทำให้สำเร็จเร็วที่สุด และจะใช้เวลากี่เดือนในการขับเคลื่อนนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า เรื่องเศรษฐกิจ นอกจากการเร่งรักษาเสถียรภาพแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้ขับเคลื่อนไปได้เร็วขึ้นด้วย เพราะถ้าเราไม่ทำอะไร เศรษฐกิจจะโตประมาณ 3 ถึง 3% กว่าๆ เท่านั้น
แต่ถ้าให้เศรษฐกิจโตไปให้ถึง 5% จะต้องเติมเม็ดเงินลงไป 1 ล้านล้านบาท ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำการศึกษาและตกผลึกออกมาเป็นชุดนโยบาย และหากประชาธิปัตย์เป็นแกนตั้งรัฐบาลจะมีวิธีดังนี้ 1. นโยบายธนาคารหมู่บ้าน/ชุมชนทั่วประเทศ ชุมชนละ 2 ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินสร้างเงินให้คนไทย ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินอัดเข้าระบบ 2 แสนล้านบาท 2. กองทุน กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม จะให้เบิกออกมา 30% เพื่อนำเม็ดเงินมาเติมให้ผู้อยู่ในกองทุนนำมาใช้ลดหนี้
โดยเฉพาะหนี้เพื่อที่อยู่อาศัยนั้นจัดว่าเป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่สุด เรื่องนี้จะทำให้มีเงินเข้าระบบ 5 แสนล้าน 3. Start Up และ SME ต้องมีแต้มต่อ ทั้งด้านการผลิต องค์ความรู้ การตลาด เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินต่อลมหายใจและมาต่อเงินให้กิจการ ซึ่งจะทำให้มีเงินเข้าระบบอีกไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท
นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ ยังมีนโยบายอื่นๆ ตั้งแต่นโยบายประกันรายได้เกษตรกร นมโรงเรียนฟรี 365 วัน ปลดล็อคประมงพาณิชย์ ชมรมผู้สูงอายุรับชมรมละ 30,000 บาท ไปจนถึงการเรียนฟรีถึงปริญญาตรี ในสาขาที่ตลาดต้องการ นโยบายทั้งหมดจะรวมเป็นการกระจายเม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่ประชาธิปัตย์คิดอย่างเข้าใจ และพร้อมรับผิดชอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินไปข้างหน้าทันที
ส่วนคำถามที่ถามถึงประเด็นการเมือง โดยเฉพาะปัจจัยที่จะนำไปสู่การตั้งรัฐบาลนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่ารัฐบาลหน้าจะเป็นรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคใดได้เสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ฉะนั้นจากการตั้งรัฐบาลผสมมาในอดีต ตนจึงไม่อยากเห็นการเลือกตั้งเที่ยวนี้มีลักษณะแบ่งขั้ว
คือเอาพวกนั้น ไม่เอาคนนี้ แต่ต้องการให้เป็นการแข่งขันตามวิถีประชาธิปไตยรัฐสภา นั่นคือการที่พรรคการเมืองใด มีนโยบายที่ดีกว่า มีบุคลากรที่มีความเหมาะสมกว่า มีทิศทางจุดยืนทางการเมืองที่มีวุฒิภาวะที่จะพาประเทศไทยเดิมไปข้างหน้าได้มากกว่า ประชาชนก็ควรสนับสนุนพรรคการเมืองนั้น
ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล ควรเป็นเรื่องของการรวมเสียงข้างมาก และเมื่อเป็นรัฐบาลผสม หากใครรวมเสียงข้างมากได้ ก็แปลว่าใครรวมเสียงประชาชนได้เกิน 250 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรได้ พรรคนั้นก็เป็นแกนตั้งรัฐบาล
สำหรับประชาธิปัตย์นั้น ได้แสดงจุดยืนไว้แล้วว่าจะไม่ไปจับขั้วตั้งรัฐบาลกับใครก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียง เพราะประชาธิปัตย์ให้เกียรติประชาชน และเคารพเสียงประชาชน ประชาชนต้องเป็นคนแรกที่ให้คำตอบว่าเขาจะให้เสียงพรรคไหนมาก-น้อยกว่ากันอย่างไร แล้วใครไปรวมเสียงข้างมากได้ คนนั้นก็เป็นรัฐบาล
“ประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการลงทุนมหาศาลในการเลือกตั้ง เพราะสุดท้ายถ้าได้อำนาจก็จะนำไปสู่การถอนทุนคืน นั่นคือการทุจริตคอรัปชั่น และนั่นคือต้นเหตุหนึ่งของการก่อรัฐประหาร
เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยสุจริต ประชาธิปไตยไม่โกง จึงเป็นทางรอดของประเทศ และเห็นว่ามีแต่วิถีทางนี้เท่านั้นที่จะพาประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ยั่งยืนต่อไปในอนาคต ขอเรียกร้องพี่น้องคนไทยทั้งประเทศมาร่วมทางกับประชาธิปัตย์เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนประชาธิปไตยไม่โกงต่อไป ด้วยการสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26” นายจุรินทร์ กล่าว