เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันที่ “คนไทย” ร่วม 52 ล้านคน ที่มีสิทธิเลือกตั้ง จะต้องออกมาใช้สิทธิเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ เลือกพรรคการเมืองที่ตัวเองชื่นชอบ เพื่อให้ได้เข้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศชาติบ้านเมือง หรือไม่ก็ไปทำหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบในสภาผู้แทนราษฎร
วันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. 2566 นี้ จะเป็นวันชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย ว่า จะได้พรรคการเมืองใดมาเป็น “แกนนำจัดตั้งรัฐบาล” และพรรคร่วมรัฐบาลจะมีพรรคใดเป็นองค์ประกอบบ้าง
ที่สำคัญจะได้รู้กันว่า ใครจะเข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรี” คนต่อไป
คนหนึ่งที่มีโอกาสลุ้นก้าวขึ้นสู่ “นายกรัฐมนตรี คนที่ 30” ของประเทศไทย กับเขาเหมือนกัน ก็คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค
เพราะในการหาเสียงเลือกตั้ง 2566 ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง กระแสความนิยมของ “พรรคก้าวไกล” ก็ยิ่งมาแรง โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยรุ่น หนุ่มสาว
"เท่าที่ลงพื้นที่หาเสียง พบว่าประชาชนพร้อมเลือกพรรคก้าวไกลทั้ง 2 ใบ เพราะประชาชนเห็นว่า 4 ปีที่ผ่านมา ก้าวไกลทำงานในสภาได้ดี อีกทั้งบัตร 2 ใบ คนต่างจังหวัดอาจจะชอบคนในพื้นที่ แต่ต้องการเลือกพรรคก้าวไกล ก็ทำได้ บางพื้นที่อาจจะชอบพรรคเก่า ส่วนคนมาเลือกพรรคก้าวไกล ซึ่งก็มีจำนวนมาก นี่คือความได้เปรียบ"
นั่นคือบทสัมภาษณ์ของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กับ “เครือเนชั่น”
+ “ก้าวไกล”ลุ้น 160 ที่นั่ง
พิธา ยังระบุด้วยว่า เขาพร้อมที่จะเป็นนายกฯ เพราะทำงานร่วมกับทีมงานเต็มที่ มีประสบการณ์ทำงานทั้งภาครัฐ เอกชน ก่อนที่จะมาเป็น ส.ส. แม้เรื่องประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง
“การเลือกตั้ง คือ โอกาสของการเปลี่ยนแปลง พรรคก้าวไกลตั้งใจเข้ามาทำงานทางการเมือง ไม่ต้องการมีตำแหน่ง แต่ต้องการเข้าสู่อำนาจรัฐ เพื่อต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประชาชน ผ่านยุทธศาสตร์ การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต”
พิธา ยังคาดว่าในการเลือกตั้ง น่าจะได้ที่นั่ง ส.ส. ทะลุ 100 เสียง
ขณะเดียวกันโหวตเตอร์รุ่นใหม่ก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อวิเคราะห์แล้วจาก 400 เขต สามารถได้ถึง 160 ที่นั่ง เขตที่ชนะในปี 2562 ก้าวไกลจะรักษาเอาไว้ได้ ส่วนเขตใหม่จะสามารถได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นเช่นกัน
“คาดหวังว่าจะได้ ส.ส. เขต 50 ที่นั่ง ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขอให้ได้ตามโพลคาดการณ์เอาไว้ เราใช้นโยบายเข้าหาประชาชน เราจะขยายฐานออกไปยังพื้นที่ชนบทมากขึ้น”
พิธา ยังมองด้วยว่า คนที่ไม่ตัดสินใจมีมากขึ้น จึงเชื่อว่าไม่ได้แข่งกันในขั้วเดียวกันเท่านั้น จะมีการข้ามขั้วมาเลือกอีกฝั่งด้วย ที่สำคัญทุกประเทศ หากประชาชนออกมาใช้สิทธิต่ำกว่า 60% กระสุนชนะกระแส หากออกมาใช้สิทธิ์ 75% ขึ้นไป กระแสชนะกระสุน โดยคาดว่าจะทำให้ขั้วฝ่ายค้านเดิม จัดตั้งรัฐบาลได้
“ก้าวไกลหวังว่าจะเข้ามาเป็นลำดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ได้ ก็ควรจะให้สิทธิพรรคลำดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลก่อน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุ
“ธนาธร”ดัน“พิธา”นายกฯ
ขณะที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ก็ได้ปราศรัยตอนหนึ่งในการเปิดเวทีหาเสียงที่สามย่านมิตรทาวน์ เมื่อวันเสาร์ที่ 22 เม.ย. 2566 ระบุว่า เดินทางไปหลายจังหวัด หลายคนบอกว่าเลือกตั้งไปทำไม เลือกใครไปก็เหมือนเดิม ชีวิตไม่เคยดีขึ้น
เพราะเหตุนี้พรรคก้าวไกลจึงใช้คำขวัญในการเลือกตั้ง 2566 ว่า “กาก้าวไกล ประเทศไทย ไม่เหมือนเดิม” เพื่อบอกว่าภาพประเทศไทยในฝันของพรรคก้าวไกล เช่น ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ไม่รวมศูนย์อำนาจ ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน สิทธิเสรีภาพของประชาชนได้รับการรับประกัน สร้างรัฐสวัสดิการที่ดูแลคนตั้งแต่เกิดจนตายอย่างถ้วนหน้า
“หากประชาชนมีความฝันเดียวกับพรรคก้าวไกล ต้องกาให้พรรคก้าวไกล เข้าไปสร้างสังคมไทยผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้”
ธนาธร ย้ำด้วยว่า ที่ผ่านมามีคนบอกว่า พรรคก้าวไกล ไม่มีประสบการณ์ ทำงานไม่เป็น แต่ผ่านมา 4 ปี พรรคก้าวไกลพิสูจน์แล้วว่าทำงานในสภาฯ โดดเด่นเหนือกว่าพรรคการเมืองอื่น
“บางคนบอกว่า พรรคก้าวไกลเสนอบางเรื่องเร็วเกินไป แต่ผมต้องบอกว่าความเดือดร้อนของประชาชนนั้นรอไม่ได้ บางคนบอกว่า รัฐสวัสดิการ ทำไม่ได้ แต่ผมต้องบอกว่าโจทย์ไม่ได้เริ่มต้นจากการที่บอกว่า ทำได้ หรือ ทำไม่ได้ แต่อยู่ที่จะทำหรือไม่ทำ มีเจตจำนงทางการเมืองมากพอหรือเปล่า หรือบางคนบอกว่า พรรคก้าวไกลแก้ปัญหาที่ต้นตอ จะทำให้ถูกโดดเดี่ยว แต่หากต้องโดดเดี่ยวจากนักการเมืองที่ไม่มีอุดมการณ์ แต่เป็นเพื่อนกับประชาชน พรรคก้าวไกลเลือกแบบนี้”
ธนาธร ชี้ว่า 14 พฤษภาฯ อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือของทุกคน ถ้าเชื่อเหมือนกันว่า ปัญหาของประเทศไทยไม่ใช่ปัญหาเชิงประเด็น แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงต้องปลดล็อกโครงสร้าง ถ้าเชื่อเหมือนกันว่านี่ไม่ใช่เวลาที่คนไทยต้องเจียมเนื้อเจียมตัว แต่เป็นเวลาที่ต้องกล้าทะเยอทะยาน ขอโอกาสพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ขอโอกาส พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี กาก้าวไกลให้ถล่มทลายทั้ง 2 ใบ
เสียงหนุนมากกว่าปี 62
ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ประเมินการลือกตั้งครั้งนี้ว่า เสียงตอบรับจากพี่น้องประชาชนดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว การที่มีคนมาร่วมฟังการปราศรัย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ก็เป็นอีกตัวชี้วัดหนึ่ง เพราะไม่ได้มีเฉพาะคนรุ่นใหม่ แต่มีหลากหลายรุ่นมาก และมากันทั้งครอบครัว
สอดคล้องกับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่ออกมาต้อนรับเราดีมากกว่าเมื่อปี 2562 รวมถึงการทำโพลของพรรคก้าวไกลก็พบว่า เราได้รับการสนับสนุนมากกว่าปี 2562 มาก
“ถ้ายังสามารถเพิ่มคะแนนความนิยมได้ในระดับนี้ จนถึงวันเลือกตั้ง หรือ สามารถทำให้ก้าวกระโดดได้อีก ก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้ ส.ส.เกิน 100 คน แต่อย่างน้อยตอนนี้มั่นใจแล้วว่า เราน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าสมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่”
ส่วนคะแนนป็อปปูลาโหวต คิดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30% ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิ เท่ากับว่าจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ 30 คน หรือ มากกว่านั้น
… พรรคก้าวไกล จะไปได้ไกลกว่าเดิม และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “นายกฯ คนที่ 30” ของประเทศไทยได้หรือไม่ 14 พ.ค.นี้ มารอลุ้นกัน