เมื่อวันที่ 28 เม.ย.66 ที่ลานด้านหน้าหอศิลปกรุงเทพ ย่านปทุมวัน โพสต์ทูเดย์ออนไลน์ และ สปริงนิวส์ ร่วมกันจัดเวที NEW GEN VOTE อนาคตประเทศไทยในมือคนรุ่นใหม่ โดยมีตัวแทนจากพรรคการเมืองเข้าร่วมประกอบด้วย นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ ผู้สมัครส.ส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หัวหน้าพรรคเปลี่ยน นายพงศกร ขวัญเมือง ผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการ พรรคเพื่อไทย นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนากล้า นายนรุตม์ชัย บุนนาค ผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคไทยสร้างไทย
นายพงศกร ขวัญเมือง ผู้สมัคร ส.ส.เขต คลองเตย-วัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ ตอบคำถามของน้องอันนาตัวแทนนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องผลักดันซอท์ฟเพาเวอร์ว่า ต้องพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจต่างๆ ที่เราเห็นภาพหากมองเศรษฐกิจเกาหลี แค่พระเอกเกาหลี ยกโซจูขึ้นดื่ม ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ทำให้เศรฐกิจเกาหลีเติบโตจากซอท์ฟเพาเวอร์ขึ้นได้
ในส่วนของประเทศไทย เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราได้แข่งกับประเทศเกาหลี แต่หลังจากที่ได้มีการแข่งขันกันมา ไทยไม่ได้มีการพัฒนา ดังนั้น สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการจะผลักดันก็คือ เรื่องการเข้าถึงเงินทุนเพื่อการพัฒนาศักยภาพเรื่องของตลาดและการทำให้พี่น้องสามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่
อย่างแรก การเข้าถึงแหล่งเงินทุน กองทุนที่จะเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเมืองไทย มี 300 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่เกาหลี มีงบหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ดังนั้นแม้จะให้งบเพื่อการอบรมให้คนสามารถเพิ่มศักยภาพเรื่องการกำกับหนังที่ยังมีไม่พอนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงชูนโยบายการเกิดกองทุนเอสเอ็มอี 3 แสนล้านบาท
อย่างที่สอง เราอยากให้เกิดการพัฒนา เรื่องของคนที่จะทำหรือเป็นเจ้าของธุรกิจ เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เราจึงอยากตั้งกองทุนเอสเอ็มอีขึ้นอีกหนึ่งกองทุน เรื่องกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้ได้อีก 1 หมื่นล้านบาท เพื่อให้คนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขยายตลาดและสามารถพัฒนาสินค้า
และสุดท้ายซอท์ฟพาวเวอร์ต้องให้เข้าถึงชุมชน ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ต้องการพัฒนากองทุนชุมชน ชุมชนละ 2 ล้านบาท ทุกคนที่อยากจะเริ่มธุรกิจ พัฒนาสินค้าสามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้พัฒนาเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ได้ และซอท์ฟเกาหลีจะพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้
ส่วนถามคำถามว่า หากได้เป็นรัฐบายจะมีโนบายหรือสวัสดิการเด็กจบใหม่ ฟรีแลนด์ อย่างไร
นายพงศกร กล่าวว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์สามารถสรุปได้ 3 อย่าง ได้แก่ เติมต้นทุนชีวิต ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้
อย่างแรกสำหรับ “การเติมต้นทุนชีวิต” ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาก่อนที่จะออกไปทำงาน ก่อนอื่นจะต้องอยู่ในระบบการศึกษาที่ฟรีได้ ซึ่งนโยบายของพรรคไม่ใช่แค่จะทำแต่เราได้ทำมาแล้ว
โดยที่ผ่านมาได้มีนโยบายการให้การศึกษาฟรี 15 ปี ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ตอนนี้เราต้องการที่จะขยายให้เรียนฟรีถึงปริญญาตรี ฟรีค่าหน่วยกิต และสามารถสร้างรายได้ในระหว่างเรียนโดยการจับคู่กับภาคเอกชน สามารถที่จะจ้างประชาชนจ้าางนักศีกษาทำให้สามารถสร้างรายได้ได้
อย่างที่สอง คือ “การลดรายจ่าย” ซึ่งนักศึกษาจะมีรายจ่ายหลายๆ อย่าง เราต้องการที่จะลดในสองอย่างหลักๆ ได้แก่
1.ลดรายจ่ายในเรื่อง พ.ร.บ. กฏหมายตัวลูกเรื่องการเดินทาง ซึ่งตรงนี้เวลามีการหาเสียงทุกพรรคการเมือง จะชูเรื่องลดค่ารถไฟฟ้าพอมาทำจริงๆ ติดด้วยกฏหมาย ซึ่งเราต้องการทำให้เป็นหนึ่งหน่วยงานทำให้เป็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเดินทาง รถไฟ รถเมล์เรือ สามารถที่จะลดเรื่องค่าเดินทาง ค่าแรกเข้าได้ สามารถที่จะลดรายจ่ายได้
โดยเฉพาะในส่วนของนักศึกษาซึ่งกฎหมายตัวนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของนักศึกษาได้ ส่วนกฎหมายอีกตัวจะช่วยนักศึกษาที่จบใหม่ สร้างรายได้ต่างๆให้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ของนักศึกษาได้ ซึ่งตอนนี้จบมาทุกคน สามารถเป็น CEO ได้
แต่ถ้าไม่สามารถมีตลาด ที่จะขายของ ไม่สามารถที่จะเข้าถึงเงินทุน ได้ ตรงนี้จะเป็นปัญหา ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการที่จะทำกองทุนที่เรียกว่า กองทุนเอสเอ็มอี 3 แสนล้าน ซึ่งสิ่งที่พรรคคิดในวันนี้จะสามารถชีวิตที่ดี มีรายจ่ายที่ลดลงเพื่อสร้างรายได้ตลอดชีพ
ผลักดันนวัตกรรม ลดรายจ่าย สร้างรายได้
นายพงศกร กล่าวถึงนโยบายในการผลักดันนวัตกรรม ว่า นโยบายทั้งหมดของเราจะเน้นไปที่การสร้างรายได้ ที่จะเติมต้นทุนชีวิต เรื่องของการลดรายจ่ายและเรื่องของการสร้างรายได้ หากพูดถึงนวัตกรรม ทุกคนต้องมีพื้นฐานของการศึกษา ซึ่งแน่นอนว่าในปัจจุบันมี 12 สาขาที่มีความต้องการมาก
ในอดีตการศึกษาของทั้ง 12 อาชีพ ไม่สามารถที่จะเข้าถึงการศึกษาได้ ดังนั้น การเรียนฟรี จะต้องเรียนฟรีตั้งแต่เด็กจนโต ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่แค่เชื่อแต่เราทำมาแล้ว 15 ปี และสุดท้าย เพื่อทำให้เกิดการสร้างรายได้ ประกอบไปด้วย นวัตกรรมทั้งชุมชน นวัตกรรมของเอสเอ็มอี ถ้าเอสเอ็มอีไปจัดตั้งกองทุน 3 แสนล้าน ถ้าเรื่องชุมชน ต้องกองทุนละ 2 ล้าน ซึ่งพรรคได้มีการวางแผน ตั้งแต่เริ่มต้นที่จะมีการทำนวัตกรรมจนถึงการสร้างรายได้อีกด้วย
นายพงศกร กล่าวว่า สำหรับนโยบายของประชาธิปัตย์ คือ อยากให้ทุกคนไม่ต้องห่วงหน้าและพะวงหลัง ท่านมองไปข้างหน้า ท่านจะสามารถมีการศึกษาที่ดีได้ สวัสดิการขั้นพื้นฐานที่จะทำให้เด็กๆ ทุกคนเข้าสู่การศึกษาได้ ลดรายจ่ายได้ สามารถที่จะสร้างรายได้
นั่นคือสิ่งที่นโยบายเราได้มีการออกแบบทุกอย่าง เพื่อที่จะทำให้ทุกคน ไม่ต้องห่วงหน้า พะวงหลัง และสุดท้ายสิ่งที่สำคัญ เรื่องของการพะวงหลังแน่นอนว่าไม่ได้ฝากเฉพาะคนรุ่นใหม่ แต่หมายรวมถึงคนวัยทำงาน หรือทุกคน
ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ ต้องการที่จะผลักดันในสิ่งที่ได้เริ่มทำมา คือ เบี้ยผู้สูงอายุ ทำให้คนหลายๆ คนไม่ต้องพะวงหลังสำหรับผู้ที่จะเป็นผู้สูงอายุ ส่วนลูกๆ หลานๆ ต้องเข้าสู่ระบบการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกัน
และ สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดต้องเริ่มต้นด้วยนโยบายสาธารณะ นั่นคือ สิ่งที่เชื่อ และผมเชื่อว่าการเมืองจะสามารถทำให้ดีขึ้นได้ด้วยการทำให้นโยบายสาธารณะซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีความพร้อม
“ขอโอกาสช่วยเลือก เอิร์ธ พงศกร ขวัญเมือง เป็น ส.ส. คลองเตย เขตวัฒนา หมายเลข 5 และช่วยเลือก ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนเป็นผู้แทนฯ และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจริง”