เวทีดีเบตนโยบายพรรคการเมืองช่วงศึกเลือกตั้ง 2566 กำลังมีความเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานมานี้มีเวทีหนึ่งที่กลายเป็นปมร้อนในสังคม หลังจากรายการยืนหนึ่งชิงนายก ทางช่อง 8 ได้เชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
โดยประเด็นหนึ่งที่นายพุทธ อภิวรรณ พิธีกรรายการหยิบยกมาขึ้นมาคือ การดำเนินนโยบายสุดโต่งของพรรคก้าวไกล ซึ่งนายธนาธร ตอบคำถามว่า คำว่าสุดโต่งขึ้นอยู่กับมุมมองว่าคุณยืนอยู่ที่ไหน เช่น การปฏิรูปกองทัพ ที่ก่อนหน้านี้มีเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ
นายธนาธร ระบุว่า ถ้าใครมองเรื่องนี้ว่าสุดโต่ง ผมคิดว่าคุณมองจากมุมมองที่ล้าหลังมาก และคิดว่าสิ่งที่เสนอคือความก้าวหน้ากับสังคมไทยไม่ใช่ความสุดโต่ง ความสุดโต่งขึ้นอยู่กับมุมมอง สิ่งที่เสนอไม่ได้เป็นเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดในสังคมที่พัฒนาแล้ว การเสนอเรื่องที่เป็นพื้นฐานธรรมดาอย่างนี้ ทำไมถึงถูกกล่าวหาว่าสุดโต่ง
“เรื่องนี้ง่าย ๆ เพราะถ้าปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับได้จริง ๆ พวกนายพลต่อไปก็ต้องไปซักผ้าเอง ตัดหญ้าเอง เลี้ยงไก่เอง เรื่องนี้เขาเสียประโยชน์เอง ทำให้นายพลและลิ่วล้อ บอกว่าพวกเราสุดโต่ง” นายธนาธร ระบุ
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ แสดงความเห็นขึ้นมาว่า “เอาตรง ๆ ที่คนมองว่าเป็นเรื่องสุดโต่งมันเป็นประเด็นเรื่องเงื่อนไข ม.112 ซึ่ง ม.112 ก็มีความสับสนอีก เพราะว่าคุณพิธา บางวันก็บอกว่ายกเลิก บางวันก็บอกว่าแก้ 3 ประเด็น ถ้าเป็นแค่เรื่องแก้ไขบางผมว่าบางคนก็มองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง แต่ถ้าบอกว่ายกเลิกก็ถูกมองว่าสุดโต่ง”
นายธนาธร กล่าวขึ้นมาทันทีว่า “อันนี้ผมว่าคุณอภิสิทธิ์ เข้าใจผิดแน่ ๆ เลยนะครับ ไม่เคยมีใครบอกว่ายกเลิก”
นายอภิสิทธิ์ สวนกลับว่า “คุณพิธา ได้ไปติดสติกเกอร์บนเวทีว่ายกเลิกหรือแก้ไข”
นายธนาธร แก้ต่างว่า “อันนั้นบังคับ Yes or No แต่นโยบายพรรค ไม่ใช่แค่พูด ทำไปแล้ว เสนอกฎหมายเข้าสู่สภาฯ”
นายอภิสิทธิ์ ถามกลับว่า “แล้วทำไมถึงไปติดสติ๊กเกอร์ตรงยกเลิก แทนที่จะติดว่าแก้ไข”
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยอมรับว่า "เขาไม่ได้พูดในเวทีสาธารณะที่ไหนเลย"
นายอภิสิทธิ์ ย้ำอีกครั้ง "เขา (พิธา) ติดสติกเกอร์บนเวทีปราศรัย"
นายธนาธร ให้คำตอบว่า “อันนั้นคุณพิธา อาจจะคิดได้ในนามส่วนตัว”
นายอภิสิทธิ์ สวนกลับว่า “แต่คุณพิธา เป็นหัวหน้าพรรค”
นายธนาธร ย้อนไปว่า “คุณอภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรคหรือเปล่าครับ ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว แล้วคุณพูดว่าอะไรครับ”
นายอภิสิทธิ์ จึงได้ตอกกลับไปว่า “ผมพูดแล้วผมลาออกครับ แล้วคุณพิธาจะลาออกไหมครับ ถ้าไม่ยกเลิก”
นายธนาธร ยังกล่าวอีกว่า “เขาไม่ได้พูดในเวทีสาธารณะเลยว่าจะยกเลิก ส่วนการติดสติกเกอร์เป็นความเห็นส่วนตัว”
ขณะที่พิธีกรได้ตั้งคำถามว่า “มันแยกได้เหรอครับ เขาเป็นหัวหน้าพรรค กับส่วนตัว เขาคือแคนดิเดตนายกฯ เลยนะ”
นายธนาธร ตอบกลับว่า “ลองกลับไปอ่านสิ่งที่คุณพิธาพูด ว่าคุณพิธาพูดถึงเรื่องนี้ว่ายังไง การเสนอแก้ไขเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าเสนอแก้ไขเพื่อให้พูดจากันได้ ยังทำไม่ได้ ก็ต้องอาจเสนอยกเลิก นี่คือสิ่งที่เขาพูด ไปลองฟังดูสิครับ”
พิธีกรได้ถามย้ำกับ นายธนาธร อีกว่า “เริ่มจากแก้ แต่การที่ไปติดสติกเกอร์ยกเลิกนี่กำลังจะหมายความว่าอย่างไร”
นายธนาธร ตอบกลับว่า “มันเรื่องส่วนตัวของเขา เขาจะไปติดอะไรก็ค่อยว่ากัน”
นายอภิสิทธิ์ ตั้งคำถามอีกว่า “บังเอิญอันนี้ไม่ใช่ว่าคุณพิธาไปเดินอยู่แล้วมีคนมาให้ติดสติ๊กเกอร์โดยที่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่มันอยู่บนเวทีเลย และเขาเองก็พูดด้วย ซึ่งผมเองไม่ได้ติดใจอะไรนะถ้าคุณพิธามาบอกว่าเปลี่ยนแปลงแล้วนี่คือนโยบาย”
นายธนาธร ตอบประเด็นนี้ว่า “ไม่ใช่เปลี่ยนแปลง คุณพิธาก็พูดทันทีหลังจากนั้น ไปฟังดูสิครับ คุณอภิสิทธิ์ อาจจะไม่ได้ฟังนะครับเรื่องนี้ เขาก็พูดอย่างนี้ชัดเจน เราเสนอไปแล้วอยู่ที่ประธานผู้แทนราษฎร ซึ่งประธานสภาไม่ยอมให้เข้า ไม่ยอมให้วาระนี้บรรจุ ซึ่งเราเสนอ หวังว่ามันจะได้เข้าไป แล้วจะได้ไปถกเถียงกัน สุดโต่งหรือไม่สุดโต่ง ไม่รู้ มันอยู่ที่สภา ถ้า ส.ส. ส่วนใหญ่ไม่รับ ก็ตกไปเอง ไม่มีอะไร”
พิธีกรทิ้งท้ายคำถามว่า “เพราะเขายังไม่มั่นใจในท่าทีลึกๆ ของหัวหน้าพรรคของคุณว่าคืออะไร”
นายธนาธร ตอบปิดท้ายไปว่า “ก็เสนอไปแล้วว่ามันเป็นการแก้ไข เนื้อหารายละเอียดคงไม่ต้องพูด เพราะทุกคนรู้อยู่แล้ว”
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของการคุย ประเด็น มาตรา 112 นายธนาธร กล่าวว่า ถ้าคิดว่าวาระที่ก้าวหน้าแบบนี้เป็นเรื่องสุดโต่งหรือไม่ ให้ดูคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์พรรคก้าวไกล หากพรรคได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มมากขึ้น แปลว่าประชาชนเปิดใจรับฟัง และมีวุฒิภาวะพอ จะมีแต่นักการเมืองที่กลัวตัวเองสูญเสียประโยชน์เท่านั้น ที่หวาดระแวงเรื่องนี้อยู่
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี มองว่า หากนายธนาธร เห็นว่าคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคก้าวไกลจะเป็นตัววัด ตนคิดว่าลำบาก เพราะตนก็รู้จักคนจำนวนไม่น้อย ที่สนับสนุนวาระอื่น ๆ ของพรรคก้าวไกล พร้อมที่จะให้โอกาส แต่ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้ โดยจะไปเหมารวมว่าเสียงทั้งหมดจะสนับสนุนเรื่องนี้ คงจะไม่ได้
ยกเว้นว่านายธนาธร จะยืนยันตรงนี้ว่า ใครไม่สนับสนุนเรื่องมาตรา 112 อย่าเลือกพรรคก้าวไกล โดย นายธนาธร อ้างว่า นโยบายทั้งหมดของพรรคก้าวไกล มันคือการมัดรวมกันเป็นข้อคิดเดียว