4 พฤษภาคม 2566 - โค้งสุดท้ายแล้วจริงๆ สำหรับ การเลือกตั้ง ครั้งสำคัญ ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งยังเต็มไปด้วยบรรยากาศ การหาเสียง เรียกคะแนนนิยม จากบรรดานโยบายหลักๆ ที่เป็นหมัดเด็ดของแต่ละพรรคการเมือง โดยนโยบายทางเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ เพิ่มสวัสดิการ ในแง่ต่างๆ ถูกงัดออกมาแข่งขันกันอย่างดุเดือด
ขณะที่ในมุมของ รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก อาจารย์คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ได้ผ่าโจทย์นโยบายเศรษฐกิจประเทศไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้ง ไว้อย่างน่าสนใจ เพื่อหวังให้รัฐบาลในอนาคต นำไปศึกษาเตรียมตัวเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่องจริงจัง ภายใต้ความท้าทายที่ประเทศต้องเผชิญ 9 ด้าน ด้วยกัน ดังนี้
9 โจทย์เศรษฐกิจไทย ในมือรัฐบาลใหม่
1. การยกระดับรายได้เพื่อหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายในการก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง แรงงานจำนวนมากยังอยู่ในภาคการผลิตที่มีรายได้ปานกลาง ไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปสู่งานที่มีรายได้สูงขึ้นได้ ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต การมีนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และการสร้างงานที่มีรายได้สูง (High-paid job) จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับรายได้ของประชากร พัฒนาคุณภาพชีวิต และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาว
2. การศึกษาและทักษะแรงงาน
ประเทศไทยยังเผชิญกับความท้าทายด้านการศึกษาและการพัฒนาทักษะ โดยแรงงานจำนวนมากขาดความรู้และทักษะที่จำเป็นเพื่อแข่งขันในเศรษฐกิจสมัยใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นการจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจและขัดขวางการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายในการปฏิรูปการศึกษา และพัฒนาคุณภาพรวมถึงลดช่องว่างด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง
3. ประชากรสูงอายุ
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายของประชากรสูงอายุซึ่งสร้างความท้าทายให้กับ นโยบายการคลัง ระบบการรักษาพยาบาลและโครงการประกันสังคมของประเทศ รวมถึงการหาแรงงานมาทดแทนส่วนที่หายไปจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
4. ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้
ประเทศไทยยังเผชิญกับเรื่องความเหลื่อมล้ำของรายได้เหมือนกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ โดยมีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนค่อนข้างมาก ความเหลื่อมล้ำนี้อาจส่งผลทางลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางสังคม และภาระทางการคลัง รัฐบาลควรดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ เช่น โครงการสวัสดิการสังคม การขยายโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร หรือการสนับสนุนภาคการเกษตร ประเด็นนี้นับว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญ
5. การทุจริต
การทุจริตยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับนโยบายเศรษฐกิจในประเทศไทย ซึ่งสามารถบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจ กีดกันการลงทุนจากต่างประเทศ และบั่นทอนความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล
6. ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมหลายประการ ทั้งมลพิษทางอากาศ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเด็นเหล่านี้อาจมีต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ รวมถึงความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชนและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ นโยบายของรัฐบาลควรให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้ เช่น การส่งเสริมพลังงานทดแทน พลังงานและการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศ
7. การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการก้าวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล รัฐบาลควรส่งเสริมการปรับตัวของทุกภาคส่วนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม ตลอดจนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ การจัดการกับความท้าทายเหล่านี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะนำไปสู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว
8. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
แม้จะมีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาเครือข่ายการขนส่ง โทรคมนาคม และพลังงาน แต่ยังมีช่องว่างในด้านความครอบคลุมและความท้าทายเรื่องความต่อเนื่องของนโยบาย
9. การเติบโตของ SMEs
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นับเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการจ้างงาน และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนก็ยังเป็นความท้าทายสำหรับ SMEs ในประเทศไทย โดยเฉพาะธุรกิจในพื้นที่ชนบทหรือในอุตสาหกรรมที่มองว่ามีความเสี่ยงการเติบโตของธุรกิจเหล่านี้ การสนับสนุน SMEs ในเชิงนโยบายในทุกมิติจะมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศไทย