การปราศรัยใหญ่ของพรรคก้าวไกล วันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากพรรคอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคก้าวไกล เราไม่ใช่แค่พรรคการเมือง แต่คือผู้คนและการเดินทาง เราได้เดินทางผ่านสิ่งต่างๆ และลงมือทำสิ่งต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทั้งในและนอกสภา ไม่ว่าจะเป็นต่อการทุจริตคอร์รัปชัน อิทธิพลมืด ค้ายาเสพติด ตำรวจตั๋วช้าง การผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ ที่เป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำ
ปฏิบัติการไอโอของกองทัพในการยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเป็นศัตรูกันเอง การใช้งบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างที่เต็มไปด้วยความผิดปกติของกองทัพ การต่อสู้เพื่อสิทธิของแรงงาน เพื่อสิทธิที่ดินของชาวบ้าน คนไทยพลัดถิ่น และกลุ่มคนต่างๆ ที่ไร้ปากเสียงในสังคม
ในขณะที่เพื่อนพรรคก้าวไกลของเราทำงานอยู่ในสภาฯ คณะก้าวหน้าก็ทำงานอยู่ในระดับท้องถิ่น เช่น การทำน้ำประปาให้ดื่มได้ที่ ต.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด พัฒนาระบบการแพทย์ทางไกลในตำบลไปพร้อมกัน
นายธนาธร กล่าวต่อไปว่า คุณค่าเรื่องคนเสมอภาคเท่าเทียมเป็นคุณค่าที่เรายึดถือมาตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ มาจนเป็นพรรคก้าวไกล ทุกคนเป็นคนเท่าเทียมกัน ควรเข้าถึงบริการของรัฐอย่างเสมอภาคกัน เราปฏิบัติตามคุณค่าที่เรายึดถือ ไม่ใช่แค่สโลแกนสวยๆ ที่แปะไว้หน้าพรรค แต่คือการกระทำ
และเหตุผลที่เรากล้าเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพล กลุ่มทุนผูกขาด ก็เพราะพวกเขาไม่ใช่นายของเรา นายของเรามีคนเดียวนั่นก็คือพี่น้องประชาชนเท่านั้น พรรคการเมืองนี้เป็นพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน เป็นของประชาชน และดำรงอยู่เพื่อประชาชน นี่คือพวกเราอนาคตใหม่-ก้าวไกลและไม่ใช่แค่ในสถานการณ์ปกติเท่านั้น แต่ในสถานการณ์คับขันเราก็พร้อมเดินไปกับประชาชน
หลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ คลื่นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงจากคนหนุ่มสาวที่ไม่เคยมีใครคาดเดามาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้ปรากฏขึ้นมา การเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทำให้คนที่เคยถอดเสื้อแดงกล้าหยิบมาใส่ใหม่ด้วยความภาคภูมิใจ เปิดประตูความเป็นไปได้ใหม่ๆ ประเด็นที่เคยอ่อนไหวถูกเรียกร้องออกมาอย่างซึ่งๆ หน้า และเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปตลอดกาล
นายธนาธร กล่าวว่า ในยามที่ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่คนไหนในบ้านเมืองนี้ออกมายืนยันในสิทธิเสรีภาพในการพูด คิด เขียน และการประกันตัวของประชาชน ไม่มีใครออกมายืนยันเผชิญหน้าความจริงอันน่ากระอักกระอ่วน ในยามที่สังคมโหยหาเสียงแห่งเหตุผล
พิธา ได้แสดงความเป็นผู้นำออกมาให้เห็นอย่างกล้าหาญ ตอบสนองเสียงเรียกร้องแห่งยุคสมัย เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองคนแรกและคนเดียวในรอบ 10 ปี ที่กล้าออกมาพูดความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ ในสภาผู้แทนราษฎร อย่างมีวุฒิภาวะ อย่างเห็นอกเห็นใจและเข้าใจทุกฝ่าย ขณะที่ยังดำรงความหนักแน่นทางการเมืองไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย นี่คือเหตุผลที่พิธาเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองของประเทศไทยในวันนี้
“ราคาที่ต้องจ่ายคือการยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่นี่เป็นการลงทุนที่สุดคุ้ม ไม่มีธนาธรก็มีพิธา ไม่มีปิยบุตรก็มีชัยธวัช ไม่มีพรรณิการ์ก็มีพริษฐ์”
ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าทุกเรื่องที่เราทำนั้น เราทำท่ามกลางคำปรามาสว่าเราไม่มีประสบการณ์ และขณะที่เป็นฝ่ายค้านทั้งสิ้น แล้วคิดดูว่าในวันนี้เรามีประสบการณ์แล้ว เราจะทำได้ดีกว่านี้ขนาดไหน จากพรรคอนาคตใหม่มาเป็นพรรคก้าวไกล เราเติบโตขึ้นอย่างองอาจกว่าเดิมพร้อมการตื่นรู้ที่มากขึ้นของสังคม เขาต้องการทำลายการเดินทางและความคิดของเรา ทั้งสองเป้าหมายนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การเดินทางของเราไม่ได้ถูกทำลายลง คนที่มาฟังการปราศรัยของเราที่นี่ มากกว่าเมื่อสี่ปีที่แล้วถึง 4-5 เท่า
เวลานี้โมงยามแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว ไม่มีทางที่จะหวนคืนทุกอย่างกลับได้แล้ว ประชาชนตื่นรู้ทางการเมืองแล้ว และจะไม่ยอมกลับไปหาอดีตที่มืดมิดอีก นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของประเทศไทยที่จะเปลี่ยนแปลง โอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนตลอด 17 ปีที่ผ่านมา ไม่มีเวลาไหนที่ฉันทามติเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะดังสนั่นทั้งแผ่นดินเท่าเวลานี้ เวลานี้เป็นเวลาแห่งการฝันใหญ่ ไม่ใช่เวลาแห่งการเจียมเนื้อเจียมตัว
“หน้าที่ของผมในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลจบลงที่เวทีนี้ ต่อไปเป็นหน้าที่ของทุกคน ในวันที่ 14 พ.ค. ที่จะส่งพรรคก้าวไกลไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ส่งพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี” ธนาธรกล่าว