วันนี้ (21 ก.ค.66) นายพรชัย เทพปัญญา นักวิชาการอิสระ พร้อม นายบุญส่ง ชเลธร อาจารย์คณะนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่าน พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การที่ๆ ประชุมรัฐสภาวันที่ 19 ก.ค.มีมติว่าการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาโหวตลงมามติเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการเสนอญัตติซ้ำขัดกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2563 ข้อที่ 41นั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
นายพรชัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวตนถือว่าเป็นผู้ที่ถูกกระทบสิทธิโดยตรง เพราะเป็นผู้ที่ไปเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 และเลือก ส.ส.ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขตของพรรคก้าวไกล ซึ่งตามหลักการของระบอบประชาธิปไตย ผู้ที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดจะสามารถเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลได้
แต่เมื่อมีการประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 ก.ค แล้ว นายพิธา ไม่ได้รับเลือก และเมื่อนัดลงมติใหม่ในวันที่ 19 ก.ค. กลับถูกขัดขวางโดยอ้างข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41โดยอ้างว่าเป็นการเสนอญัตติซ้ำ
ตนมองว่ารัฐธรรมนูญกำหนดการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้เป็นการเฉพาะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 ประกอบมาตรา 272 ตราบใดที่กระบวนการเลือกเลือกนายกฯ ยังไม่เสร็จสิ้น ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีย่อมสามารถถูกเสนอชื่อได้เรื่อยๆ มติดังกล่าวจึงเท่ากับรัฐธรรมนูญถูกละเมิดโดยข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 หรือไม่
จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ขอให้มีคำสั่งให้ที่ประชุมรัฐสภายุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
นายพรชัย ยังเห็นว่า ในหลักการแล้วมติของที่ประชุมรัฐสภ าวันที่ 19 ก.ค. ยังจะมีผลกระทบถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของทุกพรรคนับจากนี้ เพราะแคนดิเนตนายกฯ ได้รับการเสนอชื่อจะได้รับการโหวตเพียงครั้งเดียว หากไม่ผ่าน พรรคการเมืองนั้นก็จะไม่สามารถเสนอชื่อให้สมาชิกรัฐสภาโหวตได้อีก
ด้านนายบุญส่ง กล่าวว่า การยื่นเรื่องครั้งนี้ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เห็นว่าบ้านเมืองต้องมีกฎกติกาที่ชัดเจน ซึ่งมติที่ประชุมรัฐสภา วันที่ 19 ก.ค. ยังมีข้อถกเถียงจากหลายฝ่าย หากไม่ทำให้เกิดความชัดเจนในอนาคตก็จะมีการตีความที่แตกต่างกันไป ทำให้เกิดความเสียหายกับบ้านเมืองได้ จึงอยากให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยโดยเร็ว
ส่วน พ.ต.ท.กีรป กล่าวว่า เรื่องนี้จากหารือเบื้องต้นในส่วนของข้อเท็จจริง คือ การลงมติของสมาชิกรัฐสภาในวันที่ 19 ก.ค. มีข้อมูลครบถ้วนอยู่แล้ว เหลือก็เพียงในส่วนของข้อกฎหมายที่จะต้องพิจารณา โดยเฉพาะตามมาตรา 46 ประกอบมาตรา 48 ของพ.ร ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเรื่องนี้เป็นการกระทำ เป็นการลงมติของสมาชิกรัฐสภาซึ่งต้องพิจารณาว่าเป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
และประเด็นที่สำคัญของการจัดส่งให้ศาลรัฐธรรมนูวินิจฉัย ก็คือ ความเป็นผู้เสียหาย ซึ่งตามกฎหมายของศาลกำหนดว่า บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือ เสรีภาพโดยตรง และได้รับความเดือดร้อน หรือ เสียหาย หรือ อาจจะเดือดร้อนเสียหาย โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อันเมื่อมาจากการถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพนั้น ย่อมมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้
โดยผ่านกลไกของผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้าเลยกรอบเวลาดังกล่าวผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ์ ก็สามารถยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
อย่างไรก็ตาม ทราบดีว่าเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน และประธานรัฐสภามีการนัดหมายเรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรีแล้ว ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะพยายามพิจารณาให้เร็วที่สุด
เมื่อถามย้ำว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ทางผู้ตรวจการแผ่นดินจะมีคำวินิจฉัยเรื่องนี้ก่อนวันที่ 27 ก.ค.ที่ประธานรัฐสภานัดหมายโหวตนายกรัฐมนตรีรอบ 3 เลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดินระบุเพียงว่า เจ้าหน้าที่จะเร่งสรุปเรื่อง และนำเสนอที่ชมพู่ตรวจการพิจารณาโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม หลัง นายพรชัย ได้ฟังการตอบสื่อของเลขาผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว นายพรชัย ระบุว่า การละเมิดสิทธิของตนหมายความว่า กระบวนการเลือกนายกฯ ยังไม่สิ้นสุด แต่สมาชิกกับนำข้อบังคับการประชุมรัฐสถาข้อที่ 41 มาละเมิดสิทธิ์ตน และผู้ที่ลงคะแนนเลือกตั้งทั้งประเทศ
“ถ้าที่สุดแล้วผู้ตรวจการแผ่นดินไม่รับคำร้องนี้ ไม่ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ผมก็คงไม่ไปต่อ เพราะถือว่าได้ทำหน้าที่ของผมเสร็จแล้ว คงจะปล่อยให้พรรคการเมืองอื่นดำเนินการกันไป”