สื่อนอกวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐจะ “ดีขึ้น” ภายใต้รัฐบาลเศรษฐา

23 ส.ค. 2566 | 00:24 น.
อัพเดตล่าสุด :23 ส.ค. 2566 | 01:49 น.

สื่อต่างประเทศวิเคราะห์ การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ของไทยที่มาจากการเลือกตั้ง อาจเป็นการเปิดประตูให้สหรัฐอเมริกากลับมากระชับความสัมพันธ์กับไทยมากขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่นโยบายของรัฐบาลไทยชุดก่อนค่อนข้างเอนเอียงไปทางจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

หลังจากที่รัฐสภาไทยมีมติรับรอง นายเศรษฐา ทวีสิน ผู้ได้รับเสนอชื่อจาก พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ วานนี้ (22 ส.ค.) สื่อต่างชาติหลายสำนักได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์การเมืองไทยหลายคนถึงทิศทางของรัฐบาลไทยชุดใหม่ ตลอดจนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐอเมริกา

หนึ่งในนั้นคือ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล สื่อใหญ่จากโลกตะวันตก รายงานว่า ไทยและอเมริกามีความสัมพันธ์ด้านการทหารที่ดีต่อกันมายาวนาน กองทัพไทยคือลูกค้าอาวุธรายใหญ่ของสหรัฐ และผู้นำทหารระดับสูงหลายคนก็เข้าร่วมฝึกฝนในสถาบันด้านการทหารที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา

แต่เหตุรัฐประหารเมื่อปี 2014 (พ.ศ.2557) ทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศถดถอยลง เมื่อสหรัฐประกาศลดความช่วยเหลือด้านการทหารให้แก่ไทยมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดช่องว่างให้จีนเข้ามามีบทบาทแทน

นายริชาร์ด ยาร์โรว์ นักวิชาการแห่งฮาร์เวิร์ด เคนเนดี สคูล (Harvard Kennedy School) ให้ความเห็นกับวอลล์ สตรีท เจอร์นัลว่า ที่ผ่านมา ไทยถูกมองว่าเกิดรัฐประหารบ่อยครั้ง ทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าใครจะเป็นผู้บริหารประเทศ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการลงทุนจากต่างชาติ และการลงทุนภายในประเทศ

การมีรัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง จะทำให้สหรัฐมีเหตุผลเข้ามาสานสัมพันธ์กับไทยได้อีกครั้ง

สื่อใหญ่รายงานต่อไปว่า ปัจจุบันสหรัฐคือคู่ค้ารายใหญ่ของไทย โดยมีจีนตามมาเป็นอันดับสอง แต่ไทยมีความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งกับจีน และไม่มีความขัดแย้งด้านพรมแดนกับจีนเหมือนเวียดนามและฟิลิปปินส์ จึงทำให้ไทยค่อนข้างใกล้ชิดกับจีนได้ง่ายกว่า

วอลล์ สตรีท เจอร์นัล วิเคราะห์ว่า การมีรัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งที่นำโดยพรรคเพื่อไทย จะทำให้รัฐบาลสหรัฐมีเหตุผลที่จะเข้ามาสานสัมพันธ์กับไทยได้อีกครั้ง ซึ่งก็จะเป็นการสอดรับกับนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ต้องการสร้างพันธมิตรที่แนบแน่นในเอเชียเพิ่มขึ้น หลังจากที่ขยายความร่วมมือกับเวียดนามและฟิลิปปินส์ไปแล้วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอพี ได้สอบถามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญการเมืองไทย ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อการเมืองไทยหลังจากนี้ ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลชุดใหม่นี้มีแนวคิดและผลประโยชน์ที่หลากหลายต่างกันไป ซึ่งจะทำให้เป็นรัฐบาลที่ "ไม่มีความสุข" นอกจากนี้ยังมีกระแสต่อต้านจากบรรดาผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยบางส่วนเองด้วย

ส่วน ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีพรรคก้าวไกลทำหน้าที่ผลักดันให้เกิดการปฏิรูปบางอย่างในฐานะพรรคฝ่ายค้าน

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือการผลักดันให้ไทยกลายเป็นจุดหมายหลักของการลงทุนจากต่างชาติ

ด้าน นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเผชิญความท้าทายมากมาย ตั้งแต่การตอบคำถามเกี่ยวกับการสลายขั้ว เปลี่ยนจุดยืน โดยเข้าไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองฝั่งอนุรักษ์นิยมที่เคยอยู่ตรงข้ามกันมาก่อน การจัดการความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับสถาบันที่ทรงอำนาจรวมทั้งกองทัพ ไปจนถึงการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน

นิวยอร์กไทมส์ระบุว่า เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายเศรษฐาได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ว่า เขาเองมีแรงจูงใจให้เข้าสู่เส้นทางการเมืองเพราะเห็น "การจัดการที่ผิดพลาดในประเทศนี้" และว่า หากเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะเดินหน้าจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีและสนับสนุนให้ไทยกลายเป็นจุดหมายหลักของการลงทุนจากต่างชาติ รวมทั้งจะขึ้นภาษีเพื่อสร้างความเท่าเทียมทางรายได้ของประชาชนในประเทศ

ทั้งนี้ เศรษฐาเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ เป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งนั่นถือเป็นจุดแข็ง แต่หากมองในมุมทางการเมืองก็อาจจะเป็นจุดอ่อนได้เช่นกัน

นายดันแคน แมคคาร์โก นักวิเคราะห์แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technological University) ในสิงคโปร์ ให้ความเห็นกับนิวยอร์กไทมส์ว่า แม้นายเศรษฐา อาจจะไม่ได้รับแรงสนับสนุนมากนักในพื้นที่ต่างจังหวัด แต่ชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ มองว่า เขาอาจเป็นผู้ที่เข้ามาจัดการเศรษฐกิจของประเทศได้

ในทางสังคม เศรษฐาถูกมองว่าเป็นผู้ที่แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาทางสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งไม่ค่อยเห็นนักในหมู่นักธุรกิจของไทย เขายังสนับสนุนกลุ่มความหลากหลายทางเพศ เช่น การจัดให้มีห้องน้ำแบบไม่ระบุเพศในบริษัทของตนเอง และขอให้พนักงานล้มเลิกความคิดเลือกปฏิบัติทางเพศด้วย

"ภาพของเศรษฐาสอดคล้องกับคำพูดที่ว่า คนไทยชอบเศรษฐี และเขาเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ ซึ่งนั่นถือเป็นจุดแข็ง แต่หากมองในมุมทางการเมืองก็อาจเป็นจุดอ่อนได้เช่นกัน" อาจารย์แมคคาร์โกกล่าวในที่สุด