“...ผมคิดอยากทำงานการเมืองมานานแล้ว...”
คำพูดแรกของ “นริศ เชยกลิ่น” กรรมการบริหารพรรค พ่วงตำแหน่งโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย บอกกับทีมงานฐานเศรษฐกิจ หลังยอมรับว่าได้สั่งสมประสบการณ์ทำงานในแวดวงธุรกิจมายาวนานกว่า 40 ปี ก่อนตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตด้วยการโดดเข้ามาเล่นการเมือง เดิมพันอนาคตตัวเองบนเส้นทางของนักการเมืองหน้าใหม่ ภายใต้ชายคาของ “พรรคสร้างอนาคตไทย”
เขาเล่าให้ฟังถึงความหลังว่า เป็นความตั้งใจลึก ๆ ตั้งแต่สมัยช่วงออกมาจากการทำงานบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เมื่อประมาณปี 2556 ช่วงนั้นมีโอกาสได้คุยกับอาจารย์สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็เปรยเอาไว้ว่าสนใจงานด้านการเมือง แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร ด้วยเพราะประสบการณ์น้อย ผนวกกับทางบ้านเป็นห่วง จึงทดไว้ในใจ และขอศึกษาข้อมูลให้ตกผลึกก่อน
พอดีในช่วงนั้น มีผู้ใหญ่จากบริษัท บุญรอด ชักชวนไปทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์ คือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ก็เลยเข้ามาบริหารเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2557 - 2562 จนกระทั่งได้นั่งเป็น CEO
พอเกษียณแล้ว เลยกลับมาคิดอีกครั้งว่าอยากเติมเต็มในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะอยากทำอะไรเป็นประโยชน์ให้ประเทศ และสร้างโอกาสให้กับคนอีกมากมายที่ยังเดือดร้อน
ด้วยเหตุนี้ดีลการเมืองจึงเกิดขึ้น โดยจุดเริ่มต้นเกิดจากวงข้าวมื้อเช้าที่จังหวัดเชียงราย เมื่อช่วงปี 2564 เขาย้อนภาพเหตุการณ์สำคัญตอนนั้นออกมาว่า อดีต รมว.คลัง “อุตตม สาวนายน” ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันมานานตั้งแต่สมัยทำงานที่ธนาคารนครหลวงไทย ได้ชักชวนให้เข้ามาช่วยกันทำงานการเมือง ด้วยความที่อยากเข้ามาทำงานอยู่แล้ว จึงขอกลับไปนั่งคิดพิจารณา และปรึกษาครอบครัว
ผลที่ออกมาตอนแรกคือ คนที่บ้าน 90% ไม่เห็นด้วย เพราะกลัวการเมืองจะทำร้ายชีวิตหลังเกษียณ
ด้วยความที่อ่อนพรรษาในแวดวง ถ้าไม่เขี้ยวพอคงอยู่ได้ยาก แต่อีกใจนึงก็คิดว่า ถ้าทุกคนมีความคิดเก่า ๆ แบบนี้ บ้านเมืองคงไม่รอด เพราะคงติดกับวังวนคนเก่า ๆ ประเทศไปต่อไม่ได้แน่ จึงตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยมีเพื่อนรักคือ “อุตตม” เป็นหัวหน้าทีม และมีกุนซือสำคัญอย่าง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” คอยสนับสนุน
นั่นจึงทำให้ฝันที่เคยวาดไว้กลายเป็นจริง และนับเป็นก้าวแรกที่เข้ามาสนามการเมืองในฐานะของนักการเมืองหน้าใหม่
ถอดประสบการณ์เอกชนสู่งานการเมือง
เขายอมรับว่า ประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจกว่าครึ่งชีวิต จะเป็นใบเบิกทางสู่การวางนโยบายที่เหมาะสมกับการสร้างอนาคตประเทศ แม้ว่าการทำงานจะต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่เชื่อว่า ทุกอย่างจะสามารถผสานกันได้ แม้ว่า การทำงานการเมืองจะแตกต่างจากการบริหารบริษัท เพราะไม่สามารถสั่งการได้เบ็ดเสร็จทันที แต่ข้อต่อสำคัญที่น่าจะถอดประสบการณ์มาทำงานได้ คือ องค์ความรู้ทางด้านการตลาด ที่สามารถนำมาต่อยอดสู่นโยบายให้ถึงมือประชาชน
“สิ่งหนึ่งที่หยิบมาใช้ได้ คือ การทำงานด้านการตลาด เพราะการเมืองก็เป็นเหมือนการขายอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะการขายนโยบาย ผู้ซื้อก็คือประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง จะทำยังไงให้เกิดความเชื่อมั่นในนโยบายดี ๆ แล้วทำให้คนเลือกซื้อ โดยประสบการณ์จากธุรกิจสามารถนำมาใช้ได้ โดยเราทำหน้าที่เสนอนโยบายที่ดี ไม่ใช่พูดไปเรื่อย แต่ต้องรู้จริง และทำนโยบายออกมา ซึ่งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งทุกคนจะได้เห็นนโยบายดี ๆ จากพรรคออกมา”
ดันนโยบายไม่ขายฝัน บนหลักวิชาการ
สำหรับนโยบายที่ยอมรับว่าไม่ได้ขายฝัน นโยบายแรกที่พรรคตั้งใจผลักดันออกมาคือ การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสให้กับคนไทย ผ่านกองทุนสร้างอนาคตไทย 3 แสนล้านบาท นโยบายนี้จะเป็นหัวใจหลักของการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสให้กับทุกคนในสังคม โดยเฉพาะการแก้ปัญหาคาราคาซังของประเทศ นั่นคือ ภาระหนี้ครัวเรือน ซึ่งกองทุนนี้จะเข้าไปช่วยเหลือทั้ง คนจน เกษตรกร ครู เรื่อยไปถึงกลุ่มธุรกิจ SME
ตัวอย่างของการใช้กองทุนที่สำคัญ คือ การเป็นแหล่งเงินให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้ต่อชีวิต และธุรกิจให้ยืดยาวต่อไปได้ โดยจะทำควบคู่ไปกับการออกนโยบายรัฐในการเลิกพักหนี้เดิม ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเอาไว้ ให้คนเหล่านี้มีเวลาหายใจ มีทุนไปทำอะไรที่สร้างรายได้ เมื่อถึงเวลาเหมาะสมก็ค่อย ๆ ปลดหนี้เดิมให้หมด ซึ่งการทำนโยบายทุกอย่างจะตั้งอยู่บนหลักวิชาการ ความเหมาะสม และไม่สร้างภาระต่อการเงินการคลังในระยะยาว
อีกตัวอย่างคือ การแก้ไขปัญหาทางด้านการเกษตร “นริศ” ยอมรับว่า พรรคจะไม่ทำนโยบายที่บิดเบือนกลไกราคาสินค้าเกษตร แต่เน้นการสร้างความยั่งยืนด้วยการทำมาตรการที่ผ่านการทดสอบมาแล้วและเห็นผลชัดเจนกับเกษตร เช่น เศรษฐกิจพอเพียง เกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่ การนำองค์ความรู้ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุน แม้ว่านโยบายอาจจะไม่ได้ว๊าวเหมือนหลายพรรคการเมือง แต่ก็ขอสู้เต็มที่ แบบไม่มีโฆษณาชวนเชื่อ
พลิกโฉมท่องเที่ยวกู้เศรษฐกิจ
เรื่องของการท่องเที่ยว ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่อยากเล่น เพราะตอนนี้ “การท่องเที่ยว” ได้กลายเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยไปแล้ว และจะมีบทบาทต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอีกมาก หากทำนโยบายส่งเสริมให้ตรงจุด และเต็มประสิทธิภาพ หนึ่งเรื่องที่สำคัญคือ การดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีกำลังซื้อสูง
แนวทางสำคัญที่จะดึงนักท่องเที่ยวจีนมาไทยได้เร็ว ส่วนตัวมั่นใจว่าจะทำได้ผ่านความสัมพันธ์ระดับประเทศ ซึ่งจุดนี้พรรคสร้างอนาคตไทย มั่นใจว่า ประธานพรรค “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” จะเป็นบุคคลสำคัญของพรรคที่สามารถใช้ความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนมาโดยตลอดสมัยที่เป็นรองนายกฯ ดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาไทยได้มากขึ้น
สิ่งที่ต้องทำควบคู่กัน นั่นคือ การเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวใหม่ เพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ มีหลายย่านที่สามารถทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ หรือสร้างกิจกรรมที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ เช่น การท่องเที่ยวคลองฝั่งธนบุรี หรือการท่องเที่ยวย่านกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก ทีมีชุมชนชาวมุสลิม สามารถต่อยอดดึงดูดนักท่องเที่ยวไปชิมอาหารฮาลาลได้ด้วย หรือการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่ไทยมีความพร้อมเช่นกัน
ด้วยความสำคัญของการท่องเที่ยว ส่วนตัวมองว่า ถ้าเลือกได้และมีโอกาสเข้ามาทำงานเป็นรัฐบาล กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นกระทรวงหนึ่งในใจที่อยากนั่งเป็นรัฐมนตรีมากที่สุด เพราะยังมีอะไรให้เล่นอีกมาก
ดึงคนรุ่นใหม่ ประคองคนรุ่นเก่า
ในมุมการเมือง นอกจากการขายนโยบายที่ดีจับต้องได้ ยังต้องวิเคราะห์ตลาดให้แตก ส่วนตัวเชื่อมั่นว่า พรรคสร้างอนาคตไทย จะเป็นหนึ่งในทางเลือกสำคัญของคนรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่ได้ และพร้อมออกนโยบายมาตอบสนองความต้องการของคนทั้งสองกลุ่ม
อย่างกลุ่มคนรุ่นเก่า เชื่อว่า ยังมีคนกลุ่มนี้จำนวนมากไม่ชอบการเมืองแบบเดิม ๆ คือการเมืองที่มีปัญหาคอร์รัปชัน ความขัดแย้ง และการทะเลาะกัน จึงคิดว่าพรรคสร้างอนาคตไทยจะเป็นทางเลือกสำคัญของคนกลุ่มนี้ ส่วนคนรุ่นใหม่ คิดว่า นโยบายหลายอย่างตอบโจทย์ และขอให้รอดูนโยบายที่จะผลักดันออกมาในไม่นานนี้ ซึ่งจะออกมาเป็นซีรี่ย์ เพื่อสร้างพื้นที่และทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนรุ่นใหม่ต่อไป
“ส่วนตัวมองว่าพรรคของเราเป็นพรรคแบบ Mass Luxury คืออยากเป็น Luxury สิ่งที่ทุกคนใช้ได้ เป็นของดี เป็นของคุณภาพดี ไม่ใช่ Mass แล้วเละตุ้มเป๊ะ คนซื้อไปใช้แล้วมีปัญหาทีหลัง เราอยากให้คนทุกกลุ่มต้องได้สินค้าที่ดี และบุคลากรที่พรรคคัดเลือกมาก็ต้องเป็นคนที่ดี โดยเราเชื่อว่า การเมืองทำให้ดีได้ แต่ต้องใช้ความพยายาม”
สำหรับการทำการเมืองที่คิดอยู่ในใจเสมอ ต้องทำการเลือกตั้งให้สะอาด อย่าปล่อยให้การเมืองเป็นเหมือนวัชพืชที่ขึ้นง่าย แต่ก็ยอมรับว่า พืชดี ๆ นั้นปลูกยาก แต่หากปล่อยให้ประเทศไทยมีการเมืองที่เลวร้ายแบบวัชพืช จะทำให้คนที่ต้องการสร้างโอกาสไม่อยากเข้ามาทำการเมืองดี ๆ สุดท้ายก็ส่งผลไปถึงลูกหลานกลัว และไม่ยอมรับการเมืองเก่า ทำให้ต้องหันไปหาการเมืองใหม่ที่เป็นทางเลือก ซึ่งตอนนี้ก็มีน้อยอยู่แล้ว
เขากล่าวทิ้งท้ายว่า ความสำคัญของการเมืองคือสร้างอนาคตเพื่อลูกหลาน ตอนนี้มีไอเดียหลายอย่าง และได้เรียนรู้อะไรต่าง ๆ มาเยอะพอสมควร แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วงานการเมืองสำหรับตัวเอง จุดหมายปลายทางจะไม่สามารถตอบได้ว่า ประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ก็ตาม