"ภูเบศร์ อภัยวงศ์" ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางซื่อ, ดุสิต (เฉพาะแขวงนครไชยศรี) เบอร์ 3 นับว่าได้กระแสร้อนแรงมาตั้งแต่วันเปิดตัวเป็น ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ด้วยโปรไฟล์ที่ครบเครื่อง
"ภูเบศร์ อภัยวงศ์" คือ เหลน ของ "นายควง อภัยวงศ์" อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์
"ภูเบศร์ อภัยวงศ์" หรือ "กัปตันเบศ" อดีตนักบินหนุ่มผู้ที่กำลังมีอนาคตไกลทำงานในอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝัน ล่าสุดเรียกเสียงฮือฮาด้วยแฮชแท็กสุดแซ่บ "ด่าได้แต่เลือกด้วย"
หากย้อนกลับไปเขตบางซื่อ, ดุสิต (เฉพาะแขวงนครไชยศรี) นั้น "พรรคประชาธิปัตย์" ครองพื้นที่นี้มาอย่างยาวนานแต่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ต้องพ่ายให้กับนางสาวธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ จาก "พรรคพลังประชารัฐ" ไป ในขณะที่ปีนี้ "บ้านใหญ่" ส่ง "นายชื่นชอบ คงอุดม" ที่ปัจจุบันสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ลงสู้ศึก
การจะคว้าชัยชนะในเขตนี้ในการเลือกตั้งปีนี้ใช้คำว่า "งานหิน" คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ตั้งเป้าต้องการทวงคืนเขตนี้กลับมาให้ได้
กัปตันเบศ บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่กระตุ้นให้เขาเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติในครั้งนี้ว่า การเมืองอยู่ในสายเลือดอยู่แล้วเพราะทวด (นายควง อภัยวงศ์) ก็เป็นนักการเมือง คุณปู่ (นายประยูร อภัยวงศ์) ก็เป็นอดีต ส.ส. เมืองพิบูลสงคราม (ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศกัมพูชา)
ในขณะที่คุณพ่อก็ลงเลือกตั้งมาแล้วหลายครั้งแต่ยังไม่สำเร็จ "ภูเบศร์ อภัยวงศ์" จึงตั้งใจไว้ว่าเมื่อประสบความสำเร็จในอาชีพการงานที่ทำแล้ว หากมีโอกาสก็อยากทำงานเพื่อสังคมบ้าง
ประกอบกับในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพไม่ได้รับเลือกเป็น ส.ส.เลย ทั้งยังถูกปรามาสว่า เลือกตั้งครั้งหน้าคงจะสูญพันธุ์เป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสและความพร้อม เขาจึงตั้งเป้าทวงคืนเก้าอี้ ส.ส.ในพื้นที่กทม.ให้ได้เหมือนเช่นในอดีตที่ประชาธิปัตย์เคยมี ส.ส.จำนวนมาก
"ภูเบศร์ อภัยวงศ์" ให้ความเห็นว่าหากเขาได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ก็เหมือนการสานฝันให้กับคุณพ่อได้ภาคภูมิใจที่ทำได้สำเร็จอีกด้วย
"ถึงวันนี้ผมมั่นใจว่าคนในพื้นที่ยังคงรักและชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์อยู่และเชื่อว่าจะสามารถคว้าชัยชนะมาได้อีกครั้ง ผมเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรคที่มีมายาวนานกว่า 77 ปีจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปว่า เป็นสถาบันการเมืองของการเมืองไทย"
ภูเบศร์ อภัยวงศ์ บอกว่าอุดมการณ์ที่สำคัญของเขา คือ การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เมื่อเป็นรัฐบาลบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เหมือนดังที่ ท่านพุทธทาส กล่าวไว้ ประชาธิปไตย ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่แต่ประชาธิปไตย หมายถึง ผลประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่
ขณะที่การเมืองไทยยังคงวนเวียนอยู่กับการแย่งชิงอำนาจระหว่างทหารกับพลเรือนกลุ่มหนึ่งซึ่งในช่วงชีวิตผมหรือยาวนานไปกว่านั้น เห็นการรัฐประหาร การเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชั่น วนเวียนอยู่อย่างนี้ สลับกันเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง แทนที่จะทำประโยชน์ให้กับประชาชนส่วนใหญ่ เรา ประชาชนจะต้องช่วยกันหยุดวงจรอุบาทว์นี้และสนับสนุนเลือกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์"
ดังนั้น การเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขตบางซื่อ, ดุสิต ในนามพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้จึงเป็นความท้าทายที่ต้องคิดและวางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อคว้าชัย ทุกหมัดที่ปล่อยออกไปนั้นจึงต้องแม่นยำและเข้าเป้ายิงตรงถึงกลุ่มเป้าหมายแม้ไม่ทั้งหมดแต่ต้องครอบคลุมให้ได้ "มากที่สุด"
"เราจะตามพรรคอื่น ตามคู่แข่งไม่ทัน ถ้ายังหาเสียงยังทำแบบเดิม ๆ อาจไม่ได้ใจคน ผมเห็นคุณพ่อลงเลือกตั้งมาแล้ว 4 ครั้ง ได้เห็นวิธีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ได้เห็นกลยุทธ์ในการหาเสียงของผู้สมัคร ส.ส. หลายรายที่ใช้เมื่อลงพื้นที่หรือลงเลือกตั้งที่เป็นจุดอ่อนซึ่งผมจะเน้นสร้างความสัมพันธ์แบบมีคุณภาพ สร้างความถี่ในการลงพื้นที่เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์แบบแน่นแฟ้น เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นเพื่อนให้เกิดขึ้น
จากนั้นจึงขยายต่อยอดความสัมพันธ์เหล่านี้ให้กระจายออกไป การสร้างความสัมพันธ์เช่นนี้มีคุณภาพมากกว่าลงพื้นที่พบปะคนทุกคน คือ มีร้อยคนก็เจอร้อยคนซึ่งความสัมพันธ์แค่ "การรู้จัก" นั้น ผลที่ได้อาจกลายเป็นศูนย์ "รู้จักแต่อาจไม่ได้คะแนน"
"การวางกลยุทธ์ทางการเมืองคล้ายกับการทำธุรกิจ" กัปตันเบศ กล่าวย้ำกับ "ฐานเศรษฐกิจ" พร้อมเล่าว่า สิ่งต่าง ๆ ที่บอกเล่ามานั้นเกิดจากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานตลอดหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การเปิดร้านขายกาแฟ ทำคาร์แคร์ รวมถึงทำธุรกิจซื้อขายรถ นอกจากนี้ก่อนที่จะไปเป็น นักบิน นั้นยังมีโอกาสเข้าไปบริหารโรงแรมอยู่หลายปี
"อะไรที่ถูกต้องแล้วจะทำให้เราชนะ ผมจะทำ เพื่อให้ได้มาทำในสิ่งที่คิดและตั้งใจไว้ เราลงการเมืองถ้าเราไม่ชนะก็ไม่มีโอกาสที่จะทำอะไรได้ ผมเชื่อว่า ทุกคนที่เข้าสู่การเมืองต่างก็คาดหวังว่า ถ้าได้เป็น ส.ส.ก็อยากเป็นรัฐมนตรี บางคนเลยไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สำหรับผมการจะเป็นผู้แทนราษฎรนั้นต้องทำงานอย่างหนัก ไม่ใช่เรื่องทำง่ายที่จะต้องเอาชนะใจ 150,000 คน
เป้าหมายสูงสุดของ"ภูเบศร์ อภัยวงศ์" ตอนนี้ คือ การได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานครในเขตบางซื่อ-ดุสิตในนามพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีของคนในตระกูลอภัยวงศ์อีกครั้งที่จะได้สืบทอดเจตนารมณ์ของพรรคให้เดินต่อเพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป
สำหรับเขตบางซื่อผมตั้งใจอยากจะทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อก้าวไปสู่การเป็นแหล่งเศรษฐกิจ เมื่อมีเศรษฐกิจที่ดีก็จะทำให้เป็นเมืองแห่งความสุข ประชาชนมีรายได้ มีความเป็นอยู่ที่ดี"
นายควง เคยพูดติดตลกไว้ว่า..." นายควงยังไม่ตาย หากพรรคประชาธิปัตย์อยู่ แต่ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ อุดมการณ์ที่มี...ก็ตาย"