สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า นายไมเคิล เฉิน จื้อ-เวย รองศาสตราจารย์จากคณะสาธารณสุขศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกง ทำงานร่วมกับทีมวิจัยโดยเปรียบเทียบการติดเชื้อของไวรัสต้นตอโรคโควิด-19 ไวรัสต้นตอโรคซาร์ส และไวรัสไข้หวัดใหญ่ต่างๆ เช่น เอช5เอ็น1 (H5N1) และเอช1เอ็น1 (H1N1) ด้วยการศึกษาเนื้อเยื่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนและเนื้อเยื่อตาของมนุษย์ในห้องปฏิบัติการความปลอดภัยทางชีวภาพระดับ 3 แห่งหนึ่ง
ผลการศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์แลนเซต เรสพิราทอรี เมดิซิน (Lancet Respiratory Medicine) พบว่า ไวรัสต้นตอโรคโควิด-19 สามารถในการติดเชื้อที่เยื่อตาและทางเดินหายใจส่วนบนได้ดีกว่าไวรัสต้นตอโรคซาร์ส และมีระดับการติดเชื้อใกล้เคียงกับที่พบในการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยเชื้อไวรัสเอช1เอ็น1 ทั้งเมื่อพิจารณาร่วมกันแล้ว ข้อมูลเหล่านี้จึงอธิบายได้ถึงความสามารถในการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ที่สูงกว่าโรคซาร์ส
“การศึกษาครั้งนี้ยังย้ำถึงข้อเท็จจริงที่ว่าดวงตาอาจเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ในมนุษย์” นาย เฉิน กล่าว
อย่างไรก็ดี ทีมวิจัยกลุ่มนี้ค้นพบในการศึกษาก่อนหน้านี้ว่าโรคโควิด-19 สามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวที่เรียบ เช่น เหล็กไร้สนิม (สแตนเลส) แก้ว และพลาสติก ได้นาน 2-3 วัน และการค้นพบครั้งใหม่ได้ตอกย้ำความเป็นไปได้ที่ไวรัสอาจแพร่กระจายจากพื้นผิวที่ปนเปื้อนผ่านทางมือ หลังคนเอามือไปสัมผัสและขยี้ตา
ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาเมื่ออยู่ในที่สาธารณะเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง พร้อมย้ำว่าการหมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำหรือแอลกอฮอล์คือมาตรการที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่โรคโควิด-19 จากพื้นผิวที่ปนเปื้อนมาสู่จมูกและปากของคน