ผลสำรวจล่าสุดที่จัดทำหลังจากที่ นายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ และว่าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครต ที่จะลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.นี้ ได้ประกาศชื่อ นางคามาลา แฮร์ริส วุฒิสมาชิกจากรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของเขาเมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา คะแนนนิยมในตัวนายไบเดนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น และผลการพยากรณ์ก็ชี้ว่า เขามีโอกาสเป็นผู้ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ถึง 71%
การสำรวจที่จัดทำโดย เว็บไซต์สำนักวิจัย FiveThirtyEight ร่วมกับสำนักข่าวเอบีซี นิวส์ และเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ซึ่งเป็นการสำรวจความเห็นของประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันชิ้นแรกนับตั้งแต่ที่ทีมเดโมแครตประกาศชื่อนางแฮร์ริสเป็นผู้ลงชิงชัยตำแหน่งรองประธานาธิบดี ชี้ให้เห็นว่า โอกาสคว้าชัยชนะของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นอยู่ที่ระดับ 29% เท่านั้น
รายงานผลสำรวจของ FiveThirtyEight ระบุว่า เห็นได้ชัดขณะนี้นายไบเดนมีคะแนนนำห่างทรัมป์ ทั้งในภาพรวมระดับประเทศและในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นสนามแข่งขันที่สำคัญของทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ทรัมป์จะกำชัยชนะก็ยังคงมีอยู่ เพราะยังมีเวลาอีกมากที่การแข่งขันจะขับเคี่ยวเข้มข้นมากขึ้น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เองให้ความเห็นเกี่ยวกับนางแฮร์ริส ที่ดูเหมือนจะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมของเดโมแครตในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า เขาไม่หวั่นเลย เพราะเมื่อคราวเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559 นางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งของเขาก็มีคะแนนนำมาในการสำรวจของหลายสำนัก แต่สุดท้ายเขาก็เป็นผู้ชนะซึ่งเป็นการคว้าโอกาสในสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่าเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ที่ผลจะออกมาผิดไปจากการสำรวจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ทรัมป์"ขายฝันชาวมะกัน ยันเลิกเก็บภาษีเงินเดือน
โจ ไบเดน เลือก "คามาลา แฮร์ริส" ลงชิงตำแหน่งรองปธน. ศึกเลือกตั้งสหรัฐ พ.ย.นี้
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจล่าสุดนั้น นายไบเดนได้รับเสียงสนับสนุนในสัดส่วนที่มากกว่าที่นางคลินตันเคยได้เมื่อครั้งการเลือกตั้งในปี 2559 แต่ผู้คนก็ตั้งข้อกังขามากขึ้นเช่นกันว่า จะเชื่อถือผลการสำรวจได้มากน้อยแค่ไหน เพราะอย่างที่รู้ๆ กันว่า ในการเลือกตั้งครั้งปี 2559 หรือเมื่อ 4 ปีที่แล้วนั้น การสำรวจส่วนใหญ่ก็ให้ผลออกมาว่า นางคลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำอย่างไร้ข้อสงสัยกระทั่งมาถึงวันเลือกตั้งซึ่งสถานการณ์พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง
ในครั้งนั้น (พ.ย.2559) ผลสำรวจของ FiveThirtyEight ชี้ว่าโอกาสชนะของนางคลินตันสูงถึง 71.4% ขณะที่ทรัมป์ได้ไปเพียง 28.6% ซึ่งคล้าย ๆ กับผลการสำรวจครั้งล่าสุดนี้
เหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนกว่า ๆ ก็จะถึงวันเลือกตั้งครั้งสำคัญในสหรัฐ นักวิเคราะห์และสำนักทำโพลส่วนใหญ่ ให้น้ำหนักไปในทางนายโจ ไบเดน ว่าจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะและขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป ทั้งนี้ ประมวลจากผลการสำรวจที่ชี้ให้เห็นคะแนนนิยมที่นำห่างของนายไบเดน ประกอบกับข้อมูลที่ชี้ว่า ทรัมป์ยังมีคะแนนตามหลังนายไบเดนในรัฐส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เป็นพื้นที่ฐานเสียงของพรรคหนึ่งพรรคใด ( swing states) ซึ่งหากต้องการชนะเลือกตั้ง เขาควรจะต้องกวาดเสียงสนับสนุนในรัฐเหล่านี้ ทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้เชื่อว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเศรษฐกิจที่ทรุดหนักสืบเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้ทรัมป์ซึ่งโปรโมตตัวเองว่าเป็น “ผู้สร้างงาน”ให้กับชาวอเมริกัน ต้องเพลี่ยงพล้ำในการสำรวจ อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะดูย่ำแย่กว่าฝ่ายคู่แข่ง แต่ทีมหาเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังเชื่อมั่นในโอกาสที่เขาจะได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่ออีกสมัย
นายมาร์ก มีโดส์ หัวหน้าทีมเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวซีบีเอสเมื่อเร็ว ๆนี้ว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.ตามกำหนด และประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นผู้ชนะ
ทางด้านทีมเดโมแครต นายโจ ไบเดน และนางคามาลา แฮร์ริส ได้ขึ้นเวทีเปิดตัวครั้งแรกในฐานะคู่หูสู้ศึกเลือกตั้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (12 ส.ค.) ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคักมากยิ่งขึ้นก่อนการเลือกตั้ง และก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตในวันที่ 17 ส.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันที่เขาและแฮร์ริส จะได้รับการประกาศเป็นตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการในศึกเลือกตั้งครั้งนี้
ถัดจากนั้นไปอีก 1 สัปดาห์ คาดว่าจะเป็นการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันซึ่งจะเป็นวาระโอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์ในวัย 74 ปีจะได้ประกาศเป็นตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการในการเลือกตั้งเพื่อรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีเอาไว้เป็นสมัยที่สอง หลังจากนั้นไปก็เหลือเวลาอีกราว 10 สัปดาห์ก่อนที่การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.
ถ้าหากทีมเดโมแครตเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ โจ ไบเดน ก็จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่มีอายุมากที่สุดขณะเข้ารับตำแหน่ง คืออายุ 77 ปี (ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดการคาดคะเนข้ามช็อตไปในอนาคตว่า เขาคงไม่ลงเลือกตั้งเพื่อครองตำแหน่งเป็นสมัยที่สองในปี 2567) ส่วนคามาลา แฮร์ริส ก็จะเป็นสตรีผิวสีคนแรกและเป็นลูกครึ่งอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน-เอเชียคนแรก (บิดาเป็นชาวจาไมกา และมารดาเป็นชาวอินเดีย) ที่สามารถก้าวหน้ามาไกลบนเส้นทางการเมืองถึงตำแหน่งรองประธานาธิบดี
ข้อมูลอ้างอิง
Biden has 71% chance of winning 2020 election against Trump, forecast says