สื่อต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลเยอรมนี ได้ประกาศแนะนำประชาชนที่ฉีด วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มแรก เป็น วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ไปแล้ว ให้เปลี่ยนไปฉีดวัคซีนชนิดอื่นใน การฉีดเข็มที่สอง
ทั้งนี้ รัฐบาลเยอรมนีประกาศคำแนะนำประชาชนเมื่อวานนี้ (2 ก.ค.) โดยระบุให้ประชาชนเลือกใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา ในการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่สอง หลังจากที่เข็มแรกฉีดของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำของคณะกรรมการด้านการฉีดวัคซีนที่แนะนำว่า การเปลี่ยนยี่ห้อวัคซีนเข็มที่สองแตกต่างจากเข็มแรก มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 และร่นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนสองเข็ม
คณะกรรมการฯ ได้แนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มที่สองภายใน 4 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นหลังจากฉีดวัคซีนโควิดของแอสตร้าฯเข็มแรก ซึ่งเร็วขึ้นจากที่เคยแนะนำให้ทิ้งระยะห่างนานถึง 9 สัปดาห์หรือมากกว่านั้นสำหรับการฉีดวัคซีนของแอสตร้าฯ ทั้งสองเข็ม
นายเจนส์ ชปาห์น รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเยอรมนีคาดว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาซึ่งพบครั้งแรกในอินเดีย จะคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 80% ของการติดเชื้อในเยอรมนีภายในสิ้นเดือนก.ค. ขณะที่จนถึงขณะนี้ ประชาชนเยอรมนีมากกว่า 55% ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อยหนึ่งเข็ม
นายชปาห์นระบุย้ำว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่สองจะช่วยให้มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์เดลตา
ขณะเดียวกันกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของอังกฤษเปิดเผยผลการทดลองเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (28 มิ.ย.)ว่า การใช้วัคซีนโควิดของแอสตร้าฯ ร่วมกับวัคซีนของไฟเซอร์นั้น สามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งกว่าการฉีดวัคซีนของแอสตร้าฯทั้งสองเข็ม
ด้านนายโจอาคิม ฮอมแบช หัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (1 ก.ค.) ว่า ผลการทดลองดังกล่าวนับเป็นข่าวดี ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับประเทศต่างๆ ที่กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนวัคซีน แต่เขากล่าวเสริมว่า กำลังมีการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้วัคซีน 2 ชนิดร่วมกันที่นอกเหนือไปจากของแอสตร้าฯ และไฟเซอร์ โดยระบุว่า WHO ยังไม่ได้แนะนำให้ใช้วัคซีนโควิดตัวอื่นๆ ร่วมกัน