นายเจย์ บัตเลอร์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า สหรัฐกำลังทบทวนความจำเป็นใน การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งเป็นวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันโควิด-19 ให้กับประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสแล้ว โดยขณะนี้กำลังรอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อดูว่า วัคซีนกระตุ้นภูมินั้นมีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือไม่
"เราสนใจอย่างยิ่งที่จะรู้ให้ได้ว่า การฉีดวัคซีนโดสที่ 3 นั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงต่างๆ หรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มอาการที่รุนแรง แม้จะเกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม"
นายบัตเลอร์ยังระบุด้วยว่า ตามปกตินั้น การฉีดวัคซีนโดสที่สอง มีความเชื่อมโยงกับการเกิดผลข้างเคียงในระดับที่สูง ดังนั้น การฉีดวัคซีนโดสที่ 3 จึงอาจมีความเสี่ยงที่มากยิ่งขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ รองผู้อำนวยการ CDC ยังระบุว่า เขายังไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ถึงภาวะภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 ที่ลดลงในประชากรชาวสหรัฐซึ่งได้รับวัคซีนไปเมื่อช่วงเดือนธ.ค.2563 -ม.ค.ที่ผ่านมา โดยวัคซีนที่มีอยู่ตอนนี้สามารถป้องกันโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาซึ่งกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในสหรัฐได้อย่างมีนัยสำคัญ (วัคซีนต้านโควิด-19 ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในสหรัฐอเมริกามี 3 ยี่ห้อได้แก่ ไฟเซอร์ , โมเดอร์นา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน)
ขณะเดียวกัน นายบัตเลอร์กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะให้มีการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันหรือไม่ (booster vaccine) แต่กำลังพิจารณาว่าอาจมีความจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยขั้นรุนแรง
ก่อนหน้านี้ บริษัทไฟเซอร์-บิออนเทคได้ประกาศแผนขออนุมัติการฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันจากหน่วยงานที่กำกับดูแลของสหรัฐในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วอาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ขณะที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาก็กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว