ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากโรคโควิด-19 ในประชากรวัยผู้ใหญ่ที่อายุ 30-39 ปีแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะอัตราดังกล่าวในกลุ่มผู้สูงอายุ 70 ปีลดลงอยู่ที่ราว 1 ใน 4 ของตัวเลขในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ สัดส่วนเด็กที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนม.ค. ทำให้อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของกลุ่มประชาชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีนั้น สูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน โดยหลายรัฐ อาทิ จอร์เจีย, เทนเนสซี , เซาท์แคโรไลนา และหลุยเซียนา พบผู้ป่วยเด็กเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
"ฟลอริดามีอัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลสูงสุดในสหรัฐ" ซีเอ็นเอ็นรายงานโดยอ้างข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐ (HHS) ที่รายงานเมื่อวันศุกร์ (13 ส.ค.) พร้อมเสริมว่าฟลอริดามีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่า 65 รายต่อประชากร 100,000 คน คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 1,500 ของผู้อยู่อาศัยในรัฐ ซึ่งสูงกว่าอัตราทั่วประเทศกว่า 3 เท่า
"ทุกรัฐที่มีอัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลสูงกว่าค่าเฉลี่ยจะมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย" ซีเอ็นเอ็นระบุ สะท้อนให้เห็นว่า การที่ประชาชนยังไม่ได้รับวัคซีนนั้น ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิดและมีอาการที่รุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้นไปด้วย
รัฐฟลอริดาและหลุยเซียนารายงานกรณีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รักษาตัวในโรงพยาบาลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่รัฐมิสซิสซิปปีและอาร์คันซอมีตัวเลขการเข้ารักษาตัวรายวันมากกว่า 87% ของยอดสูงสุดก่อนหน้านี้ ส่วนรัฐโอเรกอน , แอละแบมา และวอชิงตัน รายงานตัวเลขดังกล่าวมากกว่า 75% ของยอดสูงสุด
รายงานข่าวระบุว่า ยอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นนานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว โดยในช่วงสัปดาห์ก่อน มีผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลเพิ่มมากกว่า 2,500 รายต่อวัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับสูงสุดที่เคยรายงานเมื่อเดือนม.ค.ในอีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้า