บรรดานักวิเคราะห์และนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กคาดว่า บริษัทไฟเซอร์/บิออนเทค และ บริษัทโมเดอร์นา จะทำรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จากการจำหน่าย วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่สาม ที่เรียกว่า วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (booster shots) โดยอาจจะสามารถแข่งขันกับยอดขายวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ระดับ 6 พันล้านดอลลาร์ต่อปีได้ในปีต่อๆ ไป
ทั้งนี้ ไฟเซอร์/บิออนเทค และโมเดอร์นา คาดการณ์มานานหลายเดือนแล้วว่า ประชาชนที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบโดสแล้วนั้น จะต้องการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิเพิ่มเพื่อรักษาระดับการป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อเวลาผ่านไป และเพื่อป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆที่เกิดขึ้น
ปัจจุบัน รัฐบาลของหลายประเทศ เช่น ชิลี เยอรมนี และอิสราเอล ได้ตัดสินใจที่จะฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิให้กับประชาชนสูงอายุ หรือประชาชนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ขณะที่ต้องเผชิญกับไวรัสสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วมากขึ้นเมื่อเทียบกับไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม แนวโน้มยังจะมีจำนวนประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นสหรัฐอเมริกาเริ่มฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิให้แก่ประชากรในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือประเทศไทยที่เริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่สามกระตุ้นภูมิให้กับบุคลากรด่านหน้า รวมทั้งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
คณะที่ปรึกษาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐได้ลงมติอนุมัติในวันศุกร์ (13 ส.ค.) ให้ประชาชนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มกระตุ้นจากไฟเซอร์และโมเดอร์นาได้ หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ให้การอนุมัติไปเมื่อวันพฤหัสบดี (12 ส.ค.)
บรรดานักวิเคราะห์คาดว่า รายได้ในปี 2566 ของไฟเซอร์/บิออนเทคจะสูงกว่า 6,600 ล้านดอลลาร์ และของโมเดอร์นาจะอยู่ที่ราว 7,600 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะได้มาจากการขายวัคซีนบูสเตอร์ช็อต และในท้ายที่สุดนั้น ยอดขายต่อปีของไฟเซอร์/บิออนเทคและของโมเดอร์นา จะอยู่ที่ราว 5,000 ล้านดอลลาร์หรือมากกว่านั้น เนื่องจากในตลาดจะมีบริษัทอื่นๆ เข้ามาร่วมแข่งขันจำหน่ายวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิดังกล่าวมากยิ่งขึ้น