การประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ ในย่านธุรกิจใจกลาง เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย กลายเป็น เหตุจลาจล รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (21 ส.ค.) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งรัฐวิกตอเรียระบุการชุมนุมประท้วงของผู้คนหลายพันคนเป็นเสรีภาพก็จริงแต่ “น่าละอาย” ขณะที่นายกรัฐมนตรียันจำเป็นต้องล็อกดาวน์จนกว่าจะฉีดวัคซีนได้มากพอ
สื่อท้องถิ่นของออสเตรเลียรายงานอ้างอิงการให้สัมภาษณ์ของนายเชน แพตตัน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งรัฐวิกตอเรีย ที่ตั้งของนครเมลเบิร์น เมืองหลวงของรัฐ ที่มีการชุมนุมครั้งใหญ่ของประชาชนหลายพันคนเพื่อต่อต้านการขยายมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเมื่อวันเสาร์ (21 ส.ค.) ซึ่งการชุมนุมได้ทวีความรุนแรงกลายเป็นการชุมนุมประท้วงที่รุนแรงมากที่สุดในรอบเกือบ ๆ 20 ปี
“การชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นภายใต้หลักการของสิทธิเสรีภาพ แต่สิ่งที่ผมเห็น พูดได้อย่างเดียวว่า มันเป็นเรื่องน่าผิดหวัง น่าละอายใจอย่างที่สุด พวกเขาสร้างความเสี่ยงให้กับคนอื่น ๆทั้งชุมชนอย่างน่าละอายและเห็นแก่ตัว” ผบ.ตร. รัฐวิกตอเรียกล่าว และเปิดเผยด้วยว่า มีตำรวจ 6 นายได้รับบาดเจ็บจากการปะทะในการชุมนุมและต้องส่งเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ทั้งนี้ มีการจับกุมผู้ประท้วงที่ก่อความรุนแรงจำนวน 218 คน มีผู้ถูกส่งตัวดำเนินคดี 3 คนข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน และมีการออกใบสั่งปรับมูลค่ารวมกว่า 1.1 ล้านดอลลาร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับแพร่ระบาดของโควิด-19 จากการประท้วงครั้งใหญ่นี้ด้วยเช่นกันเนื่องจากเป็นการรวมตัวของคนจำนวนหลายพันคนและส่วนใหญ่พวกเขาก็ไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตนเอง แต่การแพร่ระบาดจากการประท้วงจะวัดผลได้ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า หรือ 14 วันซึ่งเป็นวงจรการฝักตัวของไวรัสโควิด-19
รายงานข่าวระบุว่า มีผู้ชุมนุมเมื่อวันเสาร์ราว 4,000 คนหลั่งไหลมาตามท้องถนนในย่านธุรกิจใจกลางนครเมลเบิร์น เมืองหลวงของรัฐวิกตอเรีย โดยพวกเขาต้องการแสดงพลังคัดค้านการขยายมาตรการล็อกดาวน์ออกไปครอบคลุมทั่วทั้งรัฐหลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อรายวันในรัฐวิกตอเรียพุ่งสูงขึ้น 77 รายในชั่วข้ามคืน ซึ่งการขยายล็อกดาวน์ทั่วทั้งรัฐวิกตอเรียจะมีผลตั้งแต่วันอาทิตย์ (22 ส.ค.) เป็นต้นไป
นอกจากรัฐวิกตอเรียแล้ว การชุมนุมประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ยังเกิดขึ้นใน นครซิดนีย์ เมืองหลวงของ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ด้วย โดยในนครซิดนีย์ซึ่งเป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดของออสเตรเลียนั้น ยอดผู้ติดเชื้อโควิดรายวันพุ่งในหลักหลายร้อยราย ทำให้ต้องมีการประกาศขยายมาตรการล็อกดาวน์เช่นกัน รวมทั้งมีคำสั่งเคอร์ฟิว แต่ยอดผู้ติดเชื้อรายวันล่าสุด (22 ส.ค.) ก็ยังพุ่งที่ระดับ 825 ราย และทำให้รัฐนิวเซาท์เวลส์ ทำสถิติเป็นรัฐที่มีผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงที่สุดในออสเตรเลีย แม้จะล็อกดาวน์กันมานานถึง 8 สัปดาห์แล้วก็ตาม
นางกลาดิส เบเรจิคเลียน มุขมนตรี รัฐนิวเซาท์เวลส์ ยอมรับว่า แม้จะมีคำสั่งล็อกดาวน์และมาตรการควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ความจริงที่ต้องเผชิญก็คือ ไวรัสโควิดยังคงแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว และในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในรัฐนิวเซาท์เวลส์นั้น กว่า 600 รายเป็นไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า
ด้าน นายสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ที่คะแนนนิยมในตัวเขาลดวูบลงในระยะหลังนี้เนื่องจากประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายกับการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ครั้งแล้วครั้งเล่าและยาวนาน อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เขาออกมายืนยันว่า ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ในหลายพื้นที่ของออสเตรเลีย เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยระบุว่า จะคงมาตรการดังกล่าวไว้จนกว่าประชาชนออสเตรเลียอย่างน้อย 70% จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบโดสแล้ว
นอกจากนี้ ตามกลยุทธ์ที่วางไว้ เมื่อมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบโดสอย่างน้อย 80% ออสเตรเลียจะค่อยๆ เริ่มเปิดพรมแดนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลียระบุว่า โครงการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของออสเตรเลียนั้นเป็นไปอย่างล่าช้ากว่าที่คิด มีชาวออสเตรเลียที่อายุมากกว่า 16 ปีเพียงแค่ 30% เท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบโดสแล้ว ซึ่งความล่าช้านี้เป็นเพราะการขาดแคลนวัคซีนไฟเซอร์ และประชาชนก็มีความกังวลเกี่ยวกับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ที่มีข่าวเกี่ยวกับอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์
ข้อมูลล่าสุดวานนี้ (22 ส.ค.) ออสเตรเลียรายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ 914 รายทั่วประเทศ ซึ่งมากเป็นสถิติใหม่และยังเป็นการทำสถิติใหม่ 2 วันติดต่อกัน ในจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่นี้ มีมากกว่า 800 รายที่อยู่ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ซึ่งเป็นที่ตั้งของนครซิดนีย์