ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการศึกษาใหม่เมื่อวันศุกร์ (17 ก.ย.) ระบุว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นา มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ส่วนวัคซีนของไฟเซอร์และของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) มีประสิทธิภาพรองลงมาตามลำดับ ในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิดต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
CDC ระบุว่า ประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิดต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เรียงลำดับ ดังนี้
รายงานของ CDC ระบุว่า "แม้ข้อมูลจากการศึกษาบ่งชี้ว่าวัคซีนมีระดับการป้องกันที่แตกต่างกัน แต่วัคซีนทั้งหมดก็สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล"
ทั้งนี้ การศึกษาดังกล่าวรวบรวมข้อมูลจากผู้ใหญ่ 3,600 คนที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลราว 20 รัฐของสหรัฐอเมริการะหว่างเดือนมี.ค.-ส.ค.2564
นักวิจัยระบุว่า ประสิทธิภาพวัคซีนโควิดของไฟเซอร์จะเริ่มลดลงในอัตราที่มากกว่าของโมเดอร์นา และเริ่มลดลงนับตั้งแต่เดือนที่ 4 หลังจากฉีดวัคซีนโดสที่ 2 แล้ว โดยอยู่ที่ระดับ 77%
CDC อธิบายว่า สาเหตุของประสิทธิภาพวัคซีนที่ลดลงมากกว่านั้นอาจจะมาจากระยะเวลาระหว่างการฉีดเข็มแรกกับเข็มที่สอง โดยของโมเดอร์นาใช้เวลาห่างกัน 4 สัปดาห์ และไฟเซอร์ใช้เวลาห่างกัน 3 สัปดาห์ ซึ่งอาจทำให้ระดับภูมิคุ้มกันจากวัคซีนโมเดอร์นาสูงกว่าของไฟเซอร์
วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ต่างก็ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่สังเคราะห์สารพันธุกรรมเอ็มอาร์เอ็นเอ (messenger RNA: mRNA) ที่เฉพาะเจาะจงกับเชื้อไวรัส ส่วนวัคซีนโควิดของ J&J พัฒนาจากไวรัสที่สามารถตัดแต่งพันธุกรรม เช่น ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) นำมาดัดแปลงพันธุกรรมไม่ให้สามารถแบ่งตัวได้ และใส่สารพันธุกรรมของไวรัสโรคโควิด19 เข้าไปด้วย
ข้อมูลอ้างอิง