ความเงียบและการไม่ออกมาเคลื่อนไหวใด ๆ ของ “ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป” หรือ "เอเวอร์แกรนด์" สร้างความวิตกกังวลให้กับบรรดาผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัท และส่งผลให้ราคาหุ้นเอเวอร์แกรนด์ร่วงลงกว่า 6% ในช่วงเช้าวานนี้ (24 ก.ย.)
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา เอเวอร์แกรนด์มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยวงเงิน 232 ล้านหยวน หรือราว 35.88 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้สกุลเงินหยวนที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนก.ย.2568 และต้องจ่ายดอกเบี้ยอีกก้อนหนึ่งวงเงิน 83.5 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค.2565
นอกจากดอกเบี้ย 2 ก้อนข้างต้นแล้ว เอเวอร์แกรนด์ยังมีดอกเบี้ยที่รอการชำระอีกในวันที่ 29 ก.ย.ที่จะถึงนี้จำนวน 47.5 ล้านดอลลาร์สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมี.ค.2567
โดยหลักการแล้ว หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ได้ตามกำหนด ทางบริษัทก็จะมีเวลาอีก 30 วันหลังวันครบกำหนดชำระ เพื่อหาทางจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะถูกประกาศว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้
สื่อต่างประเทศรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลของจีนได้แจ้งให้เอเวอร์แกรนด์เร่งดำเนินการสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ได้หยุดชะงักลง โดยทางการกำชับให้บริษัทดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จสิ้นโครงการ พร้อมกับกำชับให้ทางบริษัทชำระหนี้หุ้นกู้สำหรับนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้สำหรับหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์ด้วย
นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังระบุว่า ในการประชุมร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของทางการจีนและผู้บริหารของเอเวอร์แกรนด์เมื่อเร็ว ๆ นี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งต่อทางบริษัทว่าควรมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องกับผู้ถือหุ้นกู้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ แต่จนถึงขณะนี้ บริษัทก็ยังคงเงียบอยู่
เอเวอร์แกรนด์มีหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีน ปัญหาเกิดจากการกู้เงินมาลงทุนและขยายธุรกิจจนเกินตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน
ระยะวัดใจ 30 วันหลังเบี้ยวชำระหนี้หุ้นกู้
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “เอเวอร์แกรนด์” หรือในชื่อเต็ม ๆ ว่า “ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป” บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ได้ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 2 งวดที่มีกำหนดชำระเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงมีเวลาอีก 30 วันในการหาทางระดมทุนมาชำระหนี้ ก่อนที่จะถูกประกาศว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้
การผิดนัดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ได้เกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้ นายสวี เจียหยิ่น ประธานบริษัทฯ จะออกแถลงการณ์สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ทางการจีนเอง ได้แจ้งเตือนเอเวอร์แกรนด์ให้ทำการชำระหนี้หุ้นกู้สำหรับนักลงทุนรายย่อย รวมทั้งหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้สำหรับหุ้นกู้สกุลดอลลาร์
จนถึงขณะนี้ ผู้บริหารของเอเวอร์แกรนด์ก็ยังคงปิดปากเงียบ ไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ ต่อผู้ถือหุ้นกู้ของบริษัท และไม่ได้ยื่นหนังสือชี้แจงต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหนี้ต่างชาติบางรายที่ถือหุ้นกู้สกุลดอลลาร์ของเอเวอร์แกรนด์ ต่างก็ไม่ได้คาดหวังว่าทางบริษัทจะสามารถชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ตามเวลาที่กำหนด บรรดาเจ้าหนี้เหล่านี้ยืนยัน ยังคงไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จากทางบริษัทเกี่ยวกับการชำระหนี้หุ้นกู้
ข้อมูลจากบริษัทวิจัย Morningstar Direct ระบุว่า กองทุนขนาดใหญ่ที่ได้เข้าซื้อหุ้นกู้จำนวนมากของเอเวอร์แกรนด์นั้น ได้แก่ Fidelity Asian High-Yield Fund, UBS (Lux) BS Asian High Yield (USD), HSBC Global Investment Funds - Asia High Yield Bond X, Pimco GIS Asia High Yield Bond Fund, Blackrock BGF Asian High Yield Bond Fund และ Allianz Dynamic Asian High Yield Bond
จีนส่งสัญญาณเบื้องต้นว่า "ไม่อุ้ม"
นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเร็ว ๆนี้ ทางการจีนได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในมณฑลต่าง ๆ “เตรียมรับมือ” ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้หาก “เอเวอร์แกรนด์” ต้องล้มละลายขึ้นมาจริง ๆ คำเตือนดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐบาลจีนไม่มีความประสงค์ที่จะเข้ากอบกู้กิจการของเอเวอร์แกรนด์ แต่จะเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมของจีน หากสุดท้ายแล้ว เอเวอร์แกรนด์ต้องประสบกับภาวะล้มละลาย
เจ้าหน้าที่ระบุว่าคำเตือนของทางการจีนเหมือนกับคำสั่งให้"เตรียมพร้อมรับมือพายุที่จะเกิดขึ้น" ขณะที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจต่างๆได้รับการกำชับจากทางการจีนว่าให้มีการดำเนินการในนาทีสุดท้ายก่อนที่เอเวอร์แกรนด์จะล้มละลาย เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ
สถานการณ์ที่ยังคงอึมครึม ส่งผลให้เมื่อวานนี้ (24 ก.ย.) ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงลงกว่า 300 จุด โดยปิดที่ระดับ 24,155.40 จุด ลดลง 355.58 จุด หรือ -1.45% ขณะที่หุ้นเอเวอร์แกรนด์ร่วงลงกว่า 11%