สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราคาหุ้นของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และ โมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็น ผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ยังคงร่วงลงในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวานนี้ (4 ต.ค.) ต่อเนื่องจากที่ดิ่งลงในวันศุกร์ (1 ต.ค.) หลังมีการเปิดเผยประสิทธิภาพของ ยาโมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) ในการรักษาโรคโควิด-19
ณ เวลา 18.46 น.ตามเวลาไทย ราคาหุ้นไฟเซอร์ร่วงลง 0.77% และราคาหุ้นโมเดอร์นาดิ่งลงกว่า 3% ขณะที่ราคาหุ้นบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้นกว่า 2% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (4 ต.ค.)
นายไมเคิล ยี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพของบริษัทเจฟเฟอรีส์ ให้ความเห็นว่า การร่วงลงของราคาหุ้นบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนจะกลัวโควิด-19 น้อยลง และจะลดความต้องการฉีดวัคซีน เนื่องจากมียาเม็ดที่กินได้ง่ายเพื่อรักษาโรคโควิด-19
ด้านนายอาเมช อาดาลจา นักวิชาการอาวุโสจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์กล่าวว่า ยาเม็ดที่ใช้รับประทานซึ่งสามารถลดความเสี่ยงอย่างมากในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถือเป็นตัวพลิกเกมเลยทีเดียว เนื่องจากวิธีการรักษาโรคโควิด-19 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันถือว่าสร้างความยุ่งยากให้แก่แพทย์อย่างมาก ดังนั้น การมียากินรักษาแบบง่าย ๆ จะช่วยได้มาก
ทั้งนี้ การร่วงลงของราคาหุ้นไฟเซอร์และโมเดอร์นา สวนทางการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นเมอร์ค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ผู้ผลิตยาเม็ดโมลนูพิราเวียร์ หลังบริษัทแถลงว่า ทางบริษัทเตรียมยื่นเรื่องต่อ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เพื่อขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในกรณีฉุกเฉิน หลังการทดลองทางคลินิกได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ
นอกจากนี้ เมอร์คยังจะทำการยื่นขออนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ต่อประเทศต่างๆทั่วโลก
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าบริษัทเมอร์คจะมีรายได้มหาศาลจากการจำหน่ายยาโมลนูพิราเวียร์ที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกในขณะนี้ แม้ว่าขณะนี้ยาโมลนูพิราเวียร์ยังไม่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) แต่หลายประเทศทั่วโลกก็ได้เริ่มเจรจาเพื่อสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จากเมอร์คแล้ว ยาดังกล่าวเป็นยาเม็ดสำหรับรักษาโรคโควิด-19 ซึ่งเมอร์คระบุว่ามีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์เดลตา
หากได้รับการอนุมัติจาก FDA ยาโมลนูพิราเวียร์จะเป็นยาเม็ดต้านโควิด-19 ชนิดแรกที่ได้รับการอนุมัติในสหรัฐ โดยสหรัฐยังไม่ได้ให้การอนุมัติการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาเม็ดต้านโควิด-19 เช่นกัน แม้ว่ายาฟาวิพิราเวียร์ได้รับการรับรองจากบางประเทศแล้ว (อ่านเพิ่มเติม: ทั่วโลกแห่ซื้อ “โมลนูพิราเวียร์” คาดรายได้ "เมอร์ค" พุ่งกว่า 2 แสนล้าน)
เมอร์คเปิดเผยว่า ผลการทดลองในระยะที่ 3 พบผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์มีจำนวนเพียง 7.3% เท่านั้นที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลภายในเวลา 29 วัน และไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกจำนวน 14.1% ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลภายในเวลา 29 วัน และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 8 ราย
อาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด 775 คนได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่แสดงอาการ และถูกสุ่มให้ยาโมลนูพิราเวียร์หรือยาหลอกภายในเวลา 5 วันจากที่เริ่มมีอาการ
ผู้เข้าร่วมการทดลองทุกคนยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาก่อน และแต่ละคนมีปัจจัยหนึ่งอย่างที่ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19 ซึ่งได้แก่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และการมีอายุมากกว่า 60 ปี
เมอร์คได้ทำการทดลองยาโมลนูพิราเวียร์ระยะที่ 3 ในสถานที่ต่าง ๆ มากกว่า 170 แห่งทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐอเมริกา บราซิล กัวเตมาลา อิตาลี แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น และไต้หวัน (อ่านเพิ่มเติม: ทำความรู้จักยาโมลนูพิราเวียร์ "เมอร์ค" จ่อยื่น FDA ขออนุมัติใช้รักษาโควิด)