thansettakij
“เจ้าหญิงมาโกะ” กับตำนาน “เด็ดดอกฟ้า” ในราชวงศ์ญี่ปุ่น

“เจ้าหญิงมาโกะ” กับตำนาน “เด็ดดอกฟ้า” ในราชวงศ์ญี่ปุ่น

27 ต.ค. 2564 | 07:08 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ต.ค. 2564 | 04:39 น.

การเสกสมรสของเจ้าหญิงมาโกะ พระราชนัดดาองค์โตของสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ เมื่อวันอังคาร (26 ต.ค.) กับนายเคอิ โคมูโระ คู่หมั้นวัย 30 ปี ทำให้จำนวนสมาชิกราชวงศ์ของญี่ปุ่นลดลงไปอีก 1 พระองค์ เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ราชวงศ์แดนอาทิตย์อุทัย

ตาม กฎมณเฑียรบาลและธรรมเนียมโบราณราชประเพณีของญี่ปุ่น ซึ่งใช้มาตั้งแต่ค.ศ. 1947 (พ.ศ.2490) สมาชิกฝ่ายหญิงของราชวงศ์จะต้อง สละฐานันดรศักดิ์ หากเสกสมรสกับสามัญชน การเสกสมรสของ เจ้าหญิงมาโกะ พระราชนัดดา (หลานสาว) องค์โตของสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ เมื่อวันอังคาร (26 ต.ค.) กับ นายเคอิ โคมูโระ คู่หมั้นวัย 30 ปี จึงเป็นเหตุให้พระองค์ต้องสละความเป็น “เจ้าหญิง” และกลายเป็นเพียง “นางมาโกะ โคมูโระ” ที่กำลังจะย้ายตามสามีไปพำนักในสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ทั้งคู่ได้จดทะเบียนสมรสเป็นสามี-ภรรยาตามกฎหมาย  

เจ้าหญิงมาโกะ และเคอิ โคมูโระ เจ้าหญิงมาโกะ และเคอิ โคมูโระ

เรื่องราวของเจ้าหญิงมาโกะที่ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการเพื่อให้ได้แต่งงานกับคนรักที่เป็นสามัญชน หลังจากที่ทั้งคู่ประกาศหมั้นกันเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2560 ตอกย้ำถึงความยากลำบากของสมาชิกราชวงศ์ฝ่ายหญิงกรณีที่พบรักกับชายสามัญชน แต่พระองค์ก็ไม่ใช่เจ้าหญิงพระองค์แรกของราชวงศ์ญี่ปุ่นที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวพอที่จะแหวกม่านประเพณีออกมาเพื่อแต่งงานกับชายคนรัก

 

ในอดีตที่ผ่านมานั้น มีเจ้าหญิงญี่ปุ่นที่ยอมทิ้งฐานันดรศักดิ์และอภิสิทธิ์ ตลอดจนความสะดวกสบายของชีวิตในวัง มาใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน 9 พระองค์ด้วยกัน โดยย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ไล่เรียงมายังปัจจุบัน ได้ดังนี้     

 

1.เจ้าหญิงคะซุโกะ เจ้าทะกะ

เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่สามในสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง และทรงเป็นพระเชษฐภคินี (พี่สาว) ในสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ พระประมุของค์ก่อนของญี่ปุ่น(พระบิดาของสมเด็จพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน)  ทรงเสกสมรสกับนายโทะชิมิชิ ทะกะสึกะซะ  เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ทรงอภิเษกสมรสกับสามัญชน ทำให้ต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์ตามกฎมณเฑียรบาลญี่ปุ่น ที่ถูกประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2490

เจ้าหญิงญี่ปุ่นพระองค์แรกที่สละฐานันดรศักดิ์ เจ้าหญิงญี่ปุ่นพระองค์แรกที่สละฐานันดรศักดิ์

2.เจ้าหญิงอะยะโกะ แห่งทะเกะดะ

พระธิดาในเจ้าชายสึเนะฮิซะ กับเจ้าหญิงมะซะโกะ ทะเกะดะ และเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อสยุมพรกับเคานต์สึเนะมิสึ ซะโนะ มีบุตรด้วยกันสี่คน และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2546 สิริพระชันษาได้ 92 ปี

 

3.เจ้าหญิงอะสึโกะ เจ้าโยะริ

พระราชธิดาองค์ที่ 4 ในสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง หนึ่งในพระภคินี(น้องต่างมารดา)ในสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ พระจักรพรรดิพระองค์ก่อน โดยพระองค์ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อเสกสมรสกับนายทะกะมะซะ อิเกะดะ บุตรคนโตของเจ้าผู้ครองแคว้นโนะบุมะซะ อิเกะดะ ไดเมียวคนสุดท้ายแห่งโอะคะยะมะ แต่มิได้มีบุตร-ธิดาด้วยกัน กระทั่งปี พ.ศ. 2531 ทรงตัดสินพระทัยเข้าเป็นนักบวชหญิง (Saishu) ของศาลเจ้าอิเซะในจังหวัดมิเอะ และใช้ชีวิตอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

 

4.เจ้าหญิงทะกะโกะ เจ้าซุงะ

พระราชธิดาพระองค์เล็กในสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ กับสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง และเป็นพระขนิษฐา(น้องสาว)ในสมเด็จพระจักรพรรดิหลวงอะกิฮิโตะ ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อเสกสมรสกับนายฮิซะนะงะ ชิมะซุ บุตรชายของเคานต์ฮิซะโนะริ ชิมะซุ และมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือ โยะชิฮิซะ ชิมะซุ

 

5.เจ้าหญิงยะซุโกะ แห่งมิกะซะ

พระธิดาพระองค์ใหญ่ในเจ้าชายทะกะฮิโตะ เจ้ามิกะซะ กับเจ้าหญิงยุริโกะ พระชายา ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์เพื่อสยุมพรกับนายทะดะเตะรุ โคะโนะเอะ น้องชายของโมะริฮิโระ โฮะโซะกะวะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2509 และมีบุตรชายด้วยกันเพียงคนเดียวคือ ทะดะฮิโระ โคะโนะเอะ

 6.เจ้าหญิงมะซะโกะ แห่งมิกะซะ

พระธิดาในเจ้าชายทะกะฮิโตะ เจ้ามิกะซะ กับเจ้าหญิงยุริโกะ พระชายา โดยพระองค์ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพื่อสยุมพรกับนายทะซะยุกิ เซน ในปีพ.ศ. 2526 มีบุตรชาย 2 คน และธิดา 1 คนคือ อะกิฟุมิ เซน ทะกะฟุมิ เซน และมะกิโกะ เซน

 

7.เจ้าหญิงซะยะโกะ เจ้าหญิงโนะริ

พระราชธิดาองค์เล็กในสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะกับสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ และเป็นพระขนิษฐา (น้องสาว) ของสมเด็จพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ทรงเสกสมรสกับนายโยะชิกิ คุโระดะ นักวางผังเมืองโตเกียว พระสหายคนสนิทของเจ้าชายอะกิชิโนะ พระเชษฐาของเจ้าหญิง โดยทั้งคู่เจอกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ผ่านไปหลายปี เมื่อเจ้าชายอะกิชิโนะทรงจัดงานเลี้ยงพระกระยาหารในพระราชวัง เจ้าหญิงซะยะโกะก็ได้พบกับนายโยชิกิอีกครั้ง ทำให้ได้สานความสัมพันธ์จนก่อเกิดเป็นความรัก และนำไปสู่การเสกสมรสและการสละฐานันดรศักดิ์

 

ทรงได้รับบำเหน็จจากรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นเงิน 150 ล้านเยนสำหรับดำรงชีพ ซึ่งพระองค์ก็ได้ลาออกจากการเป็นนักวิจัยประจำสถาบันปักษีวิทยาเพื่อใช้ชีวิตเป็นแม่บ้าน ข่าวระบุว่าเมื่อเป็นสามัญชน ซะยะโกะขับรถและออกไปจับจ่ายซื้อของด้วยตัวเอง และหากราชวงศ์ญี่ปุ่นมีงานพระราชพิธีสำคัญๆ เธอก็ยังปรากฏกายร่วมด้วยอยู่เสมอ

 

8.เจ้าหญิงโนริโกะ แห่งทะกะมะโดะ

พระธิดาองค์กลางในเจ้าชายโนะริฮิโตะ เจ้าทะกะมะโดะ และเจ้าหญิงฮิซะโกะ พระชายา  ทรงพบรักขณะมีพระชันษาเพียง 19 ปีเท่านั้น คือในปีพ.ศ. 2550 เมื่อตามเสด็จพระมารดาไปสักการะศาลเจ้าอิซุโมะในจังหวัดชิมะเนะ ทำให้ได้พบกับนายคุนิมะโระ เซ็งเงะ วัย 41 ปี บุตรชายของทะกะมะซะ เซ็งเงะ เจ้าอาวาสของศาลเจ้าแห่งนั้น ทั้งคู่ติดต่อกันเรื่อยมา จนนำไปสู่การหมั้น เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 และการแต่งงานในวันที่ 5 ตุลาคมปีเดียวกัน

 

9.เจ้าหญิงอายาโกะ แห่งทะกะมะโดะ

พระธิดาในเจ้าชายโนริฮิโตะ เจ้าทะกะมะโดะ กับเจ้าหญิงฮิซาโกะ พระชายา ทรงเป็นเจ้าหญิงองค์ล่าสุด (ก่อนกรณีเจ้าหญิงมาโกะ) ที่เสกสมรสกับสามัญชนในปี 2561  โดยเจ้าหญิงอายาโกะในตอนนั้นพบรักกับนักธุรกิจหนุ่มซึ่งทำงานอยู่ในบริษัทชิปปิ้งรายใหญ่ของญี่ปุ่น ทั้งคู่ได้เข้าพิธีสยุมพรตามประเพณีของญี่ปุ่น ณ ศาลเจ้าเมจิ กรุงโตเกียว และหลังจากจบพิธีเสกสมรส เจ้าหญิงอายาโกะก็สละฐานันดรศักดิ์โดยทันที

 

เจ้าชายอะกิชิโนะ กับเจ้าหญิงคิโกะ พระบิดาและพระมารดาของเจ้าหญิงมาโกะ เจ้าชายอะกิชิโนะ กับเจ้าหญิงคิโกะ พระบิดาและพระมารดาของเจ้าหญิงมาโกะ

ล่าสุด การเสกสมรสของ เจ้าหญิงมาโกะ แห่งอะกิชิโนะ พระธิดาพระองค์โตในเจ้าชายอะกิชิโนะ กับเจ้าหญิงคิโกะ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 จึงทำให้พระองค์เป็นเจ้าหญิงพระองค์ที่ 10 แห่งราชวงศ์ญี่ปุ่นที่สละฐานันดรศักดิ์เพื่อความรัก

 

สมาชิกราชวงศ์ที่ลดลงและการสืบราชบัลลังก์

เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮอรัลด์ สื่อใหญ่ของออสเตรเลียรายงานเมื่อวานนี้ (26 ต.ค.)ว่า การสมรสของเจ้าหญิงมาโกะ จะทำให้สถาบันกษัตริย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่างราชวงศ์ญี่ปุ่นมีความเสี่ยง ด้วยจำนวนสมาชิกราชวงศ์ที่ลดลง รวมถึงการผลักดันให้สตรีสืบราชบัลลังก์ที่ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

 

ทั้งนี้ เพื่อเริ่มชีวิตคู่กับสามัญชน เจ้าหญิงมาโกะทรงสละฐานันดรศักดิ์ตามกฎมณเฑียรบาล ทำให้ราชวงศ์ญี่ปุ่นในปัจจุบันเหลือสมาชิกราชวงศ์เพียง 17 พระองค์เท่านั้น โดยเป็นฝ่ายหญิงเพียง 12 พระองค์ และสมาชิกราชวงศ์ฝ่ายชาย 5 พระองค์ นับว่าลดลงมากเมื่อเทียบกับช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งราชวงศ์ญี่ปุ่นมีสมาชิกมากถึง 67 พระองค์

 

ในจำนวนสมาชิกราชวงศ์ 17 พระองค์เท่านั้น มีเพียง 3 พระองค์ ที่มีสิทธิสืบทอดราชบัลลังก์ดอกเบญจมาศ ซึ่งได้แก่

  • เจ้าชายมาซาฮิโตะ ฮิตาจิโนะมิยะ พระชนมายุ 85 พรรษา พระปิตุลาในสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ
  • เจ้าชายอากิชิโนะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น พระชนมายุ 55 พรรษา พระอนุชาในสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะ
  • เจ้าชายฮิซะฮิโตะแห่งอากิชิโนะ พระชนมายุ 15 พรรษา พระราชนัดดาชายเพียงพระองค์เดียวในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ นอกจากนี้ พระองค์ทรงเป็นพระอนุชาของเจ้าหญิงมาโกะด้วย

 

ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ใช้การปกครองระบอบราชาธิปไตยสมัยใหม่ ซึ่งให้สิทธิการสืบทอดราชบัลลังก์แก่สมาชิกราชวงศ์ “ชายเท่านั้น” เช่นเดียวกับซาอุดีอาระเบีย โอมาน และโมร็อกโก โดยญี่ปุ่นมีประวัติการสืบทอดราชบัลลังก์ติดต่อกันมายาวนานที่สุดในโลก ตั้งแต่การก่อตั้งประเทศในช่วง 660 ปีก่อนคริสตกาล

 

แม้แต่สมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะเอง ขณะนี้ทรงมีเพียงเจ้าหญิงไอโกะ โทชิโนะมิยะ เป็นพระราชธิดาพระองค์เดียวเท่านั้น ทรงไร้รัชทายาทฝ่ายชายสืบราชบัลลังก์ดอกเบญจมาศ ส่งผลให้เจ้าชายฟุมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ พระอนุชา (น้องชาย ซึ่งเป็นพระบิดาของเจ้าหญิงมาโกะ หรือนางมาโกะ โคมูโระ ในปัจจุบัน) ทรงดำรงตำแหน่งรัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งราชวงศ์แดนอาทิตย์อุทัย

 

ในสังคมญี่ปุ่นปัจจุบันนั้น แนวคิดการให้ผู้หญิงสามารถสืบราชบัลลังก์ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จากการสำรวจของเกียวโด นิวส์ เมื่อเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา ผู้ตอบแบบสอบถาม 85% ระบุว่า พวกเขาชื่นชอบจักรพรรดินี (การมีผู้หญิงครองบัลลังก์) ขณะที่ 79% ระบุว่า พวกเขาสนับสนุนให้จักรพรรดิส่งมอบราชบัลลังก์ให้กับพระโอรสหรือพระธิดาของพระองค์

 

ถึงแม้ในปี 2549 เคยมีการเสนอกฎหมายที่ให้ผู้หญิงสามารถเป็นรัชทายาทได้ แต่กฎหมายดังกล่าวก็ถูกเลื่อนการพิจารณาออกไปไม่มีกำหนด หลังการประสูติของเจ้าชายฮิซะฮิโตะ ซึ่งเป็นพระโอรสองค์แรกของราชวงศ์ญี่ปุ่นในรอบเกือบ 4 ทศวรรษ

 

ข้อมูลอ้างอิง