สำนักข่าวต่างประเทศรายงานการตรวจพบ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ ในประเทศอังกฤษ เยอรมนี และอิตาลี ซึ่งต่อมาได้รับการระบุว่าเป็นการติดเชื้อ ไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” (Omicron) เมื่อวันเสาร์ (27 พ.ย.) โดยผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวเป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศในแอฟริกา จากนั้นช่วงวันอาทิตย์ (28 พ.ย.) ยังมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมในเนเธอร์แลนด์ และออสเตรีย
ทั้งนี้ การค้นพบ ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ที่เดิมรู้จักกันในชื่อ B.1.1.529 สร้างความหวั่นวิตกให้กับรัฐบาลทั่วโลกเนื่องจากไวรัสโควิดกลายพันธุ์ดังกล่าวมีแนวโน้มแพร่กระจายได้ไวขึ้นและอาจเป็นอันตรายมากกว่าสายพันธุ์เดลตา นอกจากนี้ ยังอาจติดซ้ำได้มากขึ้น และอาจทำให้วัคซีนป้องกันโควิดที่มีอยู่นั้นมีประสิทธิภาพลดลง
นายซาจิด จาวิด รัฐมนตรีสาธารณสุขของ อังกฤษ เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ (27 พ.ย.) ว่า ผู้ติดเชื้อโอไมครอน 2 รายเป็นผู้เดินทางกลับมาจากแอฟริกาทางตอนใต้ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้อังกฤษมีแผนเพิ่มมาตรการตรวจสอบเชื้อที่เข้มงวดมากขึ้นในหมู่ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศอังกฤษ โดยพวกเขาจะต้องตรวจหาเชื้อแบบ PCR เมื่อเดินทางมาถึงอังกฤษครบสองวัน และต้องกักตัวเองโดยสมัครใจจนกว่าผลการตรวจจะออกมาเป็นลบ (ไม่พบเชื้อ)
ส่วนกรณีการตรวจพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนในรัฐบาวาเรียของประเทศ เยอรมนี มีการยืนยันแล้ว 2 ราย เป็นผู้เดินทางจากประเทศแอฟริกาใต้มาถึงสนามบินเมืองมิวนิค เมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย เมื่อวันที่ 24 พ.ย.
ขณะเดียวกัน อิตาลี มีรายงานการตรวจพบผู้ติดเชื้อโอไมครอน 1 รายในเมืองมิลาน โดยเขาเป็นผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศโมซัมบิก ขณะที่ สาธารณรัฐเชค เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่า กำลังตรวจสอบนักเดินทางรายหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากประเทศนามิเบีย ว่าเขาอาจเป็นผู้ติดเชื้อโอไมครอน
เนเธอร์แลนด์ผงะ พบ 13 นักเดินทางติดโอไมครอนในสองเที่ยวบิน
สถานการณ์น่าห่วงเกิดขึ้นกับ เนเธอร์แลนด์ เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุเมื่อวันอาทิตย์(28พ.ย.) ว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัส "โอไมครอน" ถึง 13 ราย ในบรรดาผู้โดยสารบน 2 เที่ยวบินที่บินมาจากแอฟริกาใต้ และมาถึงท่าอากาศยานสคิปโพลของเมืองอัมสเตอร์ดัมเมื่อวันศุกร์ (26พ.ย.)
ผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน 13 รายดังกล่าวอยู่ในกลุ่มผู้โดยสาร 61 คนที่มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวกบน 2 เที่ยวบิน ซึ่งบรรทุกทั้งผู้โดยสารและลูกเรือรวมกันราว ๆ 600 คน และเหล่าคนที่มีผลตรวจเป็นบวกนั้นถูกกักตัวที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้กับสนามบิน
"มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ติดเชื้อโอไมครอนเพิ่มเติมปรากฏในเนเธอร์แลนด์" นายฮูโก เดอ จอง รัฐมนตรีสาธารณสุขเนเธอร์แลนด์กล่าวระหว่างแถลงข่าวในกรุงรอตเตอร์ดัม "มันมีความเป็นไปได้ที่นี่จะเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง"
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเนเธอร์แลนด์ยังกำลังอยู่ระหว่างหาทางติดต่อและตรวจเชื้อผู้โดยสารคนอื่นๆอีกราว 5,000 คน ที่เดินทางมาจากแอฟริกาใต้ บอตสวานา เอสวาตินี เลโซโท โมซัมบิก นามิเบีย และซิมบับเว นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา (22พ.ย.)
ทางด้าน “ออสเตรีย” เป็นประเทศยุโรปล่าสุด (28 พ.ย.) ที่มีแถลงการณ์ระบุว่า นักเดินทางที่เดินทางกลับจากแอฟริกาใต้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีผลตรวจโควิด-19 แบบ PCR เป็นบวก โดยมีข้อบ่งชี้ไปถึงสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” หลังการทดสอบเบื้องต้นโดยสถาบันไวรัสวิทยาของรัฐ
ทั้งนี้ ตัวอย่างจะถูกส่งไปยังหน่วยงานด้านสุขภาพและความปลอดภัยของอาหารแห่งออสเตรีย (หรือ AGES) เพื่อทำการทดสอบต่อไป และจะมีการยืนยันอีกครั้งในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ยังได้เรียกร้องให้มีการทดสอบเพิ่มเติมในบุคคลที่เข้าออสเตรียช่วง 14 วันที่ผ่านมาจากประเทศต่างๆ ในแอฟริกาตอนใต้เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน
นอกจากยุโรปยังพบยืนยันแล้วที่ “ออสเตรเลีย”
หน่วยงานด้านสุขภาพของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศ ออสเตรเลีย ยืนยันช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า พบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน 2 ราย หลังทำการตรวจหาเชื้อในนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากต่างประเทศ โดยช่วงเช้าวันอาทิตย์ (28 พ.ย.) หน่วยงานสธ.รัฐนิวเซาท์เวลส์เปิดเผยว่า ผู้โดยสาร 2 คน จาก 14 คนที่เดินทางมาจากประเทศในแอฟริกาใต้ ติดเชื้อโควิด-19 จึงเร่งตรวจสอบว่าเป็นสายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่ และสุดท้ายผลก็ออกมาเป็นโอไมครอน รายละเอียดเพิ่มเติมคือ ผู้โดยสารทั้ง 2 คนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19ครบโดสแล้ว และไม่แสดงอาการของโรค
ผู้โดยสารอีก 12 คนที่มาจากประเทศในแอฟริกาใต้ต้องกักตัวในโรงแรม 14 วัน ขณะที่ผู้โดยสารและลูกเรือราว 260 คนบนเที่ยวบินที่พบผู้ติดเชื้อก็ต้องกักตัวเช่นกัน
การตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิดโอไมครอนดังกล่าวนับเป็น 2 รายแรกของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศทางซีกโลกใต้ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐนิวเซาท์เวลส์ประกาศว่า ทุกคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศต้องกักตัว 72 ชั่วโมง ขณะที่ผู้เดินทางมาจาก 9 ประเทศในแอฟริกาใต้ต้องกักตัว 14 วัน ส่วนผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะต้องกักตัวในสถานที่ที่รัฐกำหนด